เทรด forex สำหรับมือใหม่

การเทรด Forex เกี่ยวข้องกับการซื้อขายคู่สกุลเงินในตลาดโลก แนวคิดพื้นฐานคือ คุณจะได้กำไรเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนในตลาด FX เคลื่อนไหวตามทิศทางที่คุณคาดการณ์ไว้ ตัวอย่างคู่สกุลเงิน เช่น การเทรดเงินบาทกับดอลลาร์สหรัฐหรือยูโร

Updated:

What Changed?

Each month we update average spreads data published by the brokers the retail brokers lose %

Fact Checked

Written by Justin Grossbard

Edited by

Fact Checked by

การเทรด Forex สำหรับมือใหม่ มีสิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจอยู่อย่างหนึ่งว่าการทำกำไรในตลาด Forex ไม่ใช่เรื่องง่าย การเคลื่อนไหวของตลาดเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก และได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย ตั้งแต่สภาวะเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ย ไปจนถึงเหตุการณ์ทางการเมืองและข่าวสารระดับโลก

ด้วยเหตุนี้ คุณควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีความรู้เกี่ยวกับการเทรด Forex อย่างรอบด้าน เพื่อที่คุณจะได้รู้ว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่คืออะไร ในบทความนี้ ผมจะให้ข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นเพื่อสร้างพื้นฐานที่ดี ก่อนที่คุณจะเริ่มทำการเทรดครั้งแรก และให้ข้อคิดเกี่ยวกับหลุมพรางที่ควรหลีกเลี่ยงในฐานะมือใหม่

CONTENTS

Forex คืออะไร

ถ้าจะให้อธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด Forex คือการแลกเปลี่ยนสกุลเงินเฟียตสองสกุล เมื่อคุณทำการเทรด คุณจะต้องแลกเปลี่ยนสกุลเงินหนึ่งกับอีกสกุลเงินหนึ่งเสมอ การเทรดเหล่านี้เกิดขึ้นในตลาดฟอเร็กซ์ ซึ่งคุณสามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมงในห้าวันต่อสัปดาห์

ตลาดฟอเร็กซ์เป็นตลาดการซื้อขายแบบกระจายศูนย์ ซึ่งหมายความว่าตลาดไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ ณ ที่ตั้งทางกายภาพที่ใดที่หนึ่ง ตลาด Forex เป็นลักษณะเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ที่กระจายทั่วโลก เชื่อมโยงสถาบันการเงิน โบรกเกอร์ และเทรดรายเดอร์ย่อยเข้าด้วยกัน

เทรด forex สำหรับมือใหม่

โบรกเกอร์ Forex คืออะไร

โบรกเกอร์ Forex คือบริษัทที่ให้โครงสร้างพื้นฐานที่คุณต้องการในการเข้าถึงตลาด Forex ฟีเจอร์ต่างๆ ที่โบรกเกอร์ Forex ที่ดีที่สุดควรมีให้ได้แก่:

  • แพลตฟอร์มการเทรด (ซอฟต์แวร์ที่คุณจะต้องใช้ในการเทรด)
  • เครื่องมือวิเคราะห์ตลาด
  • ราคาที่อัปเดตแบบเรียลไทม์และการดำเนินการเทรด
  • การเข้าถึงเลเวอเรจ (เงินทุนที่ช่วยให้คุณสามารถเทรดได้มากกว่าจำนวนเงินที่ฝาก)

นอกเหนือจากการเทรดฟอเร็กซ์แล้ว คุณสามารถซื้อขายผลิตภัณฑ์ CFD ทางการเงินอื่นๆ เช่น ทองคำ เงิน ดัชนี หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และสกุลเงินดิจิทัล บนโบรกเกอร์เหล่านี้ได้ด้วย

โดยทั่วไปแล้วโบรกเกอร์ Forex ถูกแบ่งเป็นสองประเภท:

1.โบรกเกอร์แบบ no dealing desk โบรกเกอร์ประเภทนี้ช่วยในการถ่ายโอนธุรกรรมของคุณไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่องในตลาดสกุลเงินขนาดใหญ่ คำสั่งเทรดของคุณจะไม่ผ่านเซิร์ฟเวอร์หลักของพวกเขา ดังนั้น จึงถูกเรียกว่าโบรกเกอร์แบบ no dealing desk

2. ผู้ให้บริการสภาพคล่อง – หรือ b-book brokers โบรกเกอร์เหล่านี้เป็นคู่สัญญาของการเทรดของคุณ ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีหน้าที่ดำเนินการตามคำสั่งซื้อขายและดูแลสภาพคล่องของคุณ ทั้งนี้ผู้ให้สภาพคล่องเป็นที่นิยมในกลุ่มมือใหม่ เนื่องจากพวกเขาไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมและนำเสนอพอร์ทัลการศึกษาเกี่ยวกับ Forex ที่ดีกว่า

โบรกเกอร์หลายแห่งนำเสนอทั้งบริการผู้ให้บริการสภาพคล่องและ ECN โดย MetaTrader 4 เป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูงสุดเนื่องจากความน่าเชื่อถือและฟีเจอร์ที่หลากหลาย

โดยรวมแล้ว คุณไม่ควรกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับการเลือกประเภทโบรกเกอร์ แต่ละแบบล้วนมีจุดเด่นของตนเอง เช่น ผู้ให้บริการสภาพคล่องมักเสนอการเทรดฟอเร็กซ์แบบไม่มีค่าธรรมเนียมและมีเครื่องมือจัดการความเสี่ยงที่ดีกว่า ส่วนโบรกเกอร์แบบ no dealing desk มีตัวเลือกการเทรดที่มีค่าธรรมเนียมและไม่มีค่าธรรมเนียม ในบัญชีแบบ RAW คุณจะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม แต่แลกมาด้วยสเปรดที่ต่ำมาก และนั่นคือเหตุผลที่เหล่า scalper ทั้งหลายเลือกใช้โบรกเกอร์ประเภท no dealing desk

เคล็ดลับ: เพื่อเริ่มเทรด คุณจะต้องลงทะเบียนกับโบรกเกอร์ การมองหาโบรกเกอร์ Forex ที่มีโบนัสฟรีอาจเป็นประโยชน์ ซึ่งหมายความว่าโบรกเกอร์จะให้เงินสดหรือเครดิตการเทรดเพิ่มเติมแก่คุณ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าโบรกเกอร์มีคุณสมบัติที่จำเป็น เช่น สเปรดต่ำ ความหลากหลายของเครื่องมือการเงิน และผลิตภัณฑ์การเทรดที่ดี

ประเภทโบรกเกอร์ฟีเจอร์หลักดีที่สุดสำหรับแพลตฟอร์ทเทรดโบนัสที่มักจะมี
ผู้สร้างสภาพคล่อง• สเปรดต่ำ
• ไม่มีค่าคอมมิชชั่น
• แหล่งข้อมูลการศึกษาที่ดีกว่า
• เหมาะสำหรับมือใหม่
เทรดเดอร์มือใหม่ที่ต้องการความเรียบง่าย• MT4/MT5
• แพลตฟอร์มของตัวเอง
• โบนัสฝากต้อนรับ
• เครดิตการเทรด
• การเทรดแบบไม่มีความเสี่ยง
No Dealing Desk (ECN)• การเข้าถึงตลาดโดยตรง
• การดำเนินการที่รวดเร็ว
• ราคาที่โปร่งใส
• เหมาะสำหรับ scalping
เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์• MT4/MT5
• แพลตฟอร์มขั้นสูง
• ส่วนลดตามปริมาณการเทรด
• โปรแกรมคืนเงิน
โซเชียลเทรด/copy trade• ติดตามเทรดเดอร์ผู้เชี่ยวชาญ
• คัดลอกกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จ
• ฟีเจอร์ชุมชน
• การติดตามประสิทธิภาพ
• มือใหม่ที่เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ
• เทรดเดอร์แบบ passive
• แพลตฟอร์มสำหรับการคัดลอกโดยเฉพาะ
• MT4 แบบมีฟีเจอร์คัดลอก
• เครดิตการ copy trade
• ค่าธรรมเนียมที่ลดลงสำหรับเทรดเดอร์ที่ได้รับความนิยม

การเทรดฟอเร็กซ์ในทางปฏิบัติคืออะไร

การเทรด Forex คือการซื้อ ขาย หรือแลกเปลี่ยนคู่สกุลเงิน เนื่องจากค่าเงินของแต่ละสกุลในคู่การซื้อขายจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดังนั้น การเทรด forex จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างกำไรจากการคาดการณ์ทิศทางการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องของสกุลเงินหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอีกสกุลเงินหนึ่ง

ให้ผมแสดงให้คุณเห็นว่าการเทรด Forex ทำงานอย่างไร ผ่านตัวอย่างในสองเหตุการณ์นี้: สมมติว่าคุณอยู่ในประเทศไทยและเชื่อว่าดอลลาร์สหรัฐจะมีค่าสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินบาท

อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันคือ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ และคุณตัดสินใจที่จะเปิดสถานะคำสั่งซื้อ Long (BUY) $1,000 ด้วยเงินบาทของคุณ

หากดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและอัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนเป็น 35.75 คุณจะสามารถขายดอลลาร์ของคุณกลับไปเป็นเงินบาทได้มากกว่าที่คุณจ่ายไป มาแบ่งการเทรดนี้ออกเป็นทีละขั้นตอนกัน:

  1. สภาพเริ่มต้น: USD/THB ที่ 35.50
  2. การดำเนินการของคุณ: ซื้อ 1,000 USD (คำสั่งซื้อ Long – ซื้อคู่สกุลเงิน โดยคาดว่าราคาจะสูงขึ้น)
  3. การเคลื่อนไหวของราคา: USD/THB ขึ้นไปที่ 35.75
  4. ผลลัพธ์: คุณขายที่ราคาใหม่ ดังนั้นคุณจะได้กำไร 0.25 บาทต่อดอลลาร์ (หักค่าธรรมเนียมการเทรด)

ในการเทรดนี้ เนื่องจากเงินบาทตอนนี้ถูกลง คุณสามารถซื้อเงินบาทได้มากขึ้นด้วยจำนวนดอลลาร์สหรัฐเท่าเดิม

หมายเหตุ: เนื่องจากคุณถืออยู่ $1,000 กำไรทั้งหมดจะคำนวณดังนี้: 1,000 คูณด้วย 0.25 (ความแตกต่างของการเคลื่อนไหวราคา) = 250 บาท

มาดูการเทรดที่ขาดทุนกันบ้าง ซึ่งราคาตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับคุณ:

  1. สภาพเริ่มต้น: USD/THB ที่ 35.50
  2. การดำเนินการของคุณ: ขาย 1,000 USD (Short (SELL) หมายถึงการขายคู่สกุลเงิน โดยคาดว่าราคาจะลดลง)
  3. การเคลื่อนไหวของราคา: USD/THB ขึ้นไปที่ 35.75
  4. ผลลัพธ์: คุณขาย 1,000 USD ในขณะที่ราคาใหม่อยู่ที่ 35.75 บาท/USD

เพื่อปิดตำแหน่ง short ของคุณ คุณต้องซื้อ 1,000 USD คืนที่อัตราใหม่ คือ 1 USD = 35.75 บาท หมายความว่าคุณจะขาดทุน 0.25 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งคุณจะขาดทุนทั้งหมด 0.25 บาทต่อดอลลาร์ x 1,000 USD = 250 บาท

แนวคิดหลักใน Forex สำหรับมือใหม่

นอกจากจะต้องเข้าใจว่าโบรกเกอร์ที่ดีที่สุดเป็นอย่างไรแล้ว ผมอยากให้คุณลองทดสอบความเข้าใจในการซื้อขาย ด้วยการลองตอบคำถามนี้กันก่อน: อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ราคาของสกุลเงินขึ้นหรือลง? มันอาจดูเหมือนง่าย แต่การเข้าใจว่าสิ่งใดที่ทำให้ราคาของสกุลเงินหนึ่งขึ้นหรือลงนั้นสำคัญมากสำหรับคุณในฐานะเทรดเดอร์

การเข้าใจแนวคิดของอุปสงค์และอุปทาน

เหมือนกับตลาดอื่นๆ ราคาถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทาน ในที่นี้ คือความต้องการสกุลเงินและสภาพคล่องที่มีอยู่ (ความขาดแคลน)

ในการเป็นเทรดเดอร์ที่ดี คุณจะต้องทำความคุ้นเคยกับกราฟสกุลเงิน (หรือที่เรียกว่าอินดิเคเตอร์) เครื่องมือเหล่านี้แสดงราคาสกุลเงินในรูปแบบแท่งเทียนสีเขียวและสีแดงหรือลายเส้นง่ายๆ คุณสามารถดูการเปลี่ยนแปลงของราคาในหลายช่วงเวลา แท่งเทียนแต่ละแท่งจะแทนช่วงเวลาที่เฉพาะเจาะจง ตั้งแต่ไม่กี่วินาทีจนถึงหลายเดือน

  • ทุกแท่งที่คุณเห็นในกราฟรายเดือนจริง ๆ แล้วประกอบขึ้นจากแท่งเล็กๆ เมื่อคุณซูมเข้าไปจะเห็นมุมมองรายสัปดาห์ รายวัน หรือรายนาที
  • ทุกครั้งที่มีคนซื้อสกุลเงิน จะมีคนอีกฝ่ายที่กำลังขายมันอยู่
  • แต่ละแท่งในกราฟของคุณ แทนเทรดเดอร์ทั้งหมดที่กำลังเทรดคู่สกุลเงินดังกล่าวในช่วงเวลานั้นไม่ว่าจะเป็นการซื้อ (สีเขียว) หรือการขาย (สีแดง)

การเคลื่อนไหวของตลาดส่วนใหญ่เกิดจากผู้เล่นรายใหญ่ เช่น ธนาคาร, hedge fund, และนักลงทุนแบบสถาบัน แม้ว่านักเทรดรายย่อยจะมีส่วนร่วมด้วย แต่หน่วยงานขนาดใหญ่เหล่านี้ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณ

การเคลื่อนไหวของราคาเป็นเรื่องที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา: เมื่อผู้ซื้อมีจำนวนมากกว่าผู้ขาย ราคาจะขึ้น และเมื่อจำนวนผู้ขายมีมากกว่าผู้ซื้อ ราคาจะลดลง กล่าวอีกอย่างคือ ความต้องการสกุลเงินเฉพาะน้อยทำให้สภาพคล่องของสกุลเงินนั้นในตลาดน้อยลง เมื่อมองในภาพรวม การเคลื่อนไหวเหล่านี้มักถูกกระตุ้นโดยเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ ข่าวสาร และการพัฒนาระหว่างประเทศ

หากในตอนนี้คุณมองภาพรวมออกแล้ว พวกเราลองมาลงรายละเอียดทางเทคนิคและจำแนกคำศัพท์ Forex กันดีกว่า:

คู่ Forex

อย่างที่ผมได้บอกไว้ในตอนต้น ในการเทรด Forex นักลงทุนต้องคาดการณ์และทำการซื้อขายด้วยสกุลเงินสองประเภท ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า “คู่การซื้อขาย”

คู่การซื้อขายใน forex ประกอบด้วยสกุลเงินหลักซึ่งเป็นสกุลเงินตัวแรก และสกุลเงินอ้างอิงซึ่งเป็นสกุลเงินตัวหลัง

  • คู่สกุลเงินหลัก เป็นคู่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตลาดโลกคือ มักจะรวมถึง GBP, AUD, EUR, JPY, CHF และ NZD กับ USD ได้แก่ EUR/USD, GBP/USD และ USD/JPY ซึ่งคู่การซื้อขายเหล่านี้มีปริมาณการเทรดที่มากที่สุดและมีสภาพคล่องสูงที่สุด
  • คู่สกุลเงินรอง โดยหลักการมีสกุลเงินเดียวกันกับคู่หลัก แต่มีข้อยกเว้น คือจะต้องไม่เกี่ยวข้องกับดอลลาร์สหรัฐ เช่น GBP/EUR, EUR/CHF, AUD/JPY
  • คู่สกุลเงินเกิดใหม่ ประกอบด้วยสกุลเงินหลักที่มาจับคู่กับสกุลเงินของแหล่งเศรษฐกิจที่เล็กลงมา ซึ่งเป็นที่ที่คุณจะพบคู่สกุลเงินบาท

*หมายเหตุ: สกุลเงินสำรองโลกคือ ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ใช้มากที่สุดในการค้าระหว่างประเทศ สกุลเงินี้จึงมีสภาพคล่องสูงและมีอิทธิพลเป็นอย่างมาก

แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับ Forex ที่ควรรู้

ก่อนทำการเทรด Forex มีแนวคิดบางอย่างที่คุณควรศึกษา ซึ่งรวมถึง Pips, ล็อต และสเปรด

1. Pip และล็อต

Pip

Pip (ย่อมาจาก Percentage In Point) คือหน่วยวัดการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าสกุลเงินแต่ละตัวในคู่สกุลเงิน การเปลี่ยนแปลงแต่ละ pip แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าในหน่วยที่เล็กที่สุดที่คู่สกุลเงินสามารถทำได้ ตัวอย่างเช่น หาก EUR/USD เคลื่อนที่จาก 1.1000 เป็น 1.1001 นั่นแหละคือการเคลื่อนไหว 1 pip

ล็อต

ล็อต เป็นหน่วยการวัดอีกหนึ่งประเภทที่ใช้ในการกำหนดขนาดการเทรดให้เป็นมาตรฐาน การวัดนี้ใช้เพื่อกำหนดจำนวนเงินที่คุณต้องใช้เพื่อทำการเทรด อีกทางหนึ่ง ล็อต คือชุดมาตรฐานของหน่วยสกุลเงินที่เราใช้ในการวัดขนาดการเทรดของเรา ตัวอย่างเช่น:

  • ล็อตมาตรฐาน (Standard Lot) คือ 100,000 หน่วยของสกุลเงินพื้นฐานของคุณ
  • มินิล็อต (Mini Lot) คือ 10,000 หน่วยของสกุลเงินพื้นฐานของคุณ
  • ไมโครล็อต (Micro Lot) คือ 1,000 หน่วยของสกุลเงินพื้นฐานของคุณ
  • และนาโนล็อต (Nano Lot) ที่พบได้ยาก คือ 100 หน่วยของสกุลเงินพื้นฐานของคุณ

หมายเหตุ: โบรกเกอร์ให้เทรดเดอร์กู้ยืมจากพวกเขาเพื่อใช้ล็อตในขนาดที่ใหญ่ขึ้น ผ่านการใช้เลเวอเรจ (leverage) โดยจำนวนที่ให้จะแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขของโบรกเกอร์ แต่ยิ่งการกู้ยืมสูงขึ้น ความเสี่ยงก็ยิ่งมากขึ้น

2. ราคาเสนอและราคาเรียก

เมื่อคุณกำหนดขนาดล็อตสำหรับการเทรดแล้ว สิ่งสำคัญถัดมาที่ต้องพิจารณาคือราคาเสนอและราคาเรียก:

  • ราคาเสนอซื้อ คือ ราคาที่ผู้ให้บริการสภาพคล่องหรือโบรกเกอร์จะซื้อคู่สกุลเงินที่ระบุ
  • ราคาเสนอขาย หมายถึง ราคาที่ผู้ให้บริการสภาพคล่องต้องการขายคู่สกุลเงินที่ระบุ
  • ความแตกต่างระหว่างราคาเสนอและราคาเสนอขายเรียกว่า สเปรด ซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญที่คุณไม่ควรมองข้ามเมื่อเลือกโบรกเกอร์

ตอนนี้เรามาลงลึกเรื่องสเปรดกันเถอะ เพราะมันมีความสำคัญพอที่จะต้องมีส่วนของมันเอง:

หมายเหตุ:

ในฐานะเทรดเดอร์ คุณต้องการให้สเปรดแคบที่สุดหรือต่ำที่สุด สิ่งนี้จะช่วยให้คุณมั่นใจว่ากำไรของคุณอยู่ในระดับที่ดีที่สุด และจะไม่เสียเงินที่ควรจะได้ไปกับการคาดเคลื่อนของราคา

3. สเปรด

สเปรด คือ ความแตกต่างระหว่างราคาเสนอขายและซื้อของคู่สกุลเงิน และถูกนับเป็นค่าใช้จ่ายในการเทรด อีกทั้งเป็นวิธีที่โบรกเกอร์ forex ใช้ทำกำไร ตัวอย่างเช่น หาก EUR/USD มีราคาเสนอซื้อที่ 1.1000 และราคาเสนอขายที่ 1.1002 สเปรดจะเท่ากับ 2 pips

ในการคำนวณสเปรด คุณจะต้องหักราคาเสนอซื้อออกจากราคาเสนอขาย ตัวอย่างเช่น หาก EUR/USD มีราคาเสนอที่ 1.1000 และราคาเรียกที่ 1.1002 สเปรดจะเท่ากับ 2 pips

ในฐานะมือใหม่ คุณต้องรู้ว่า:

  • สเปรดที่แคบลง หรือความแตกต่างที่เล็กลงระหว่างราคาเสนอซื้อและขาย โดยทั่วไปหมายถึงค่าใช้จ่ายในการเทรดที่ต่ำกว่า
  • คู่หลักมักมีสเปรดที่แคบกว่า เนื่องจากสภาพคล่องสูงมาก อาจต่ำถึง 0 pips ในบัญชีแบบ RAW
  • สเปรดอาจกว้างขึ้นในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน หรือระหว่างการประกาศข่าวสำคัญ

การรู้เรื่องสเปรดยังช่วยให้คุณสามารถคำนวณผลกำไรและขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้ หากคุณกำลังจะใช้กลยุทธ์การเทรดระยะสั้น

4. เลเวอเรจและมาร์จิ้น

นี่บทเรียนราคาแพงที่สุดสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ และผมก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น ดังนั้น โปรดให้ความสนใจกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ

เลเวอเรจ เป็นตัวช่วยที่โบรกเกอร์จะให้เงินทุนจำนวนมากขึ้นแก่คุณเพื่อใช้ในการเทรด ทำให้คุณสามารถเข้าถึงตลาดได้มากขึ้น แม้คุณจะเงินที่เป็นหลักประกันสำหรับการเปิดสถานะการเทรดในจำนวนน้อยก็ตาม (เรียกว่า มาร์จิ้น)

  • มาร์จิ้น หมายถึง จำนวนเงินที่คุณต้องฝากกับโบรกเกอร์ของคุณเพื่อใช้เลเวอเรจ มาร์จิ้นคือหลักประกันที่ปลดล็อคความสามารถของคุณในการกู้ยืม ซึ่งจะแสดงค่าเป็นเปอร์เซ็นต์
  • เลเวอเรจ คือ เงินที่คุณกู้ยืมมาใช้ในการเทรด ซึ่งจะแสดงค่าเป็นอัตราส่วน

นี่คือตัวอย่างของการเทรดโดยใช้เลเวอเรจ

  • หากคุณมีเงินทุน $100 ในบัญชีของคุณ การมีเลเวอเรจ 1:100 จะทำให้คุณสามารถกู้ยืมเงินได้ $100 สำหรับทุกๆ หนึ่งดอลลาร์ที่คุณฝากเป็นหลักประกัน กล่าวอีกอย่างคือ คุณจะต้องมีมาร์จิ้น 1% ในบัญชีของคุณเพื่อเข้าถึงเลเวอเรจนี้
  • เลเวอเรจ จะเพิ่มทั้งผลกำไรและขาดทุนที่คุณอาจได้รับจากการเทรด กล่าวคือ ยิ่งใช้เลเวอเรจสูงเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายสำหรับแต่ละการเคลื่อนไหวของราคาในกราฟก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

แน่นอน นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณต้องใช้เลเวอเรจที่สูงที่สุดเพื่อเพิ่มขนาดตำแหน่งของคุณโดยอัตโนมัติ การเทรดแต่ละครั้งต้องมีการประเมินความเสี่ยง และคุณจะต้องพิจารณาว่าคุณจะยอมรับความเสี่ยงจากเลเวอเรจได้มากเพียงใด

หมายเหตุ: หากคุณพึ่งเริ่มต้นเทรด คุณไม่จำเป็นต้องใช้เลเวอเรจที่สูงเกินไป เพราะอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินทุนโดยไม่จำเป็น และอาจใช้แพลตฟอร์ม เช่น tradingview เพื่อดูและคัดลอกการเทรดจากเทรดเดอร์มืออาชีพแทนการเทรดด้วยตนเอง

ตำแหน่ง Long และ Short

ในฐานะเทรดเดอร์ คุณเพียงต้องคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาคู่ Forex และดำเนินการคำสั่ง 2 ประเภท คือ 1) การเปิดตำแหน่งคำสั่งซื้อ (long)

  • ตำแหน่ง long หมายถึง การที่คุณกลายเป็นผู้ซื้อคู่สกุลเงิน โดยคาดว่าราคาของสกุลเงินนั้นจะเพิ่มขึ้น
  • สิ่งนี้หมายความว่า กำไรของคุณจะเพิ่มขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของราคา เพราะเมื่อปิดการเทรด คุณจะขายได้ในราคาที่สูงกว่าราคาที่คุณซื้อมา
  • ตัวอย่าง: หากคุณซื้อ EUR/USD ที่ 1.10 และจากนั้นราคาขึ้นไปที่ 1.15 คุณจะได้รับกำไรจาก ความแตกต่าง 0.05 คูณด้วยเลเวอเรจที่คุณใช้กับเงินลงทุนตั้งต้นที่คุณตัดสินใจลงทุน

ในทางตรงกันข้าม 2) การเปิดตำแหน่งคำสั่งขาย (short) จะมีการเคลื่อนที่ในทิศทางตรงข้าม ทั้งนี้คนส่วนใหญ่คิดว่าการเทรด FX คุณจะสามารถทำเงินได้เฉพาะเมื่อราคาขึ้นเท่านั้น นี่เป็นความเข้าใจที่ผิดเพราะคุณสามารถทำกำไรได้ทั้งสองทิศทาง

  • เมื่อคุณเปิดตำแหน่ง short คุณจะกลายเป็นผู้ขาย และหวังว่าราคาจะลดลงเมื่อปิดการเทรด
  • คุณหวังที่จะ “ซื้อคืน” ในราคาที่ต่ำกว่าเพื่อเก็บกำไรจากความแตกต่างนั้น

และกรณีที่น่าใจอีกประการ หากคุณเปิดตำแหน่ง long และตำแหน่ง short ในในเวลาเดียวกัน นี่ถือเป็นใช้งานการป้องกันความเสี่ยง (hedging) หรือการเป็น delta-neutral หมายถึง คุณกำลังพยายามลดความเสี่ยงและในขณะเดียวกันก็จำกัดยอดกำไรและขาดทุนด้วย

การเทรด CFD Forex คืออะไร

5. อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

อัตราแลกเปลี่ยน หมายถึง ราคาของสกุลเงินหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอีกสกุลเงินหนึ่ง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ อัตราแลกเปลี่ยนเป็นตัวกำหนดจำนวนของสกุลเงินหนึ่งที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นอีกสกุลเงินหนึ่งได้

และนี่คือคำอธิบายอัตราแลกเปลี่ยนบางประเภท:

  • อัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว/แบบผันแปร : อัตราแลกเปลี่ยนเหล่านี้ถูกกำหนดโดยแรงของอุปสงค์และอุปทานในตลาด Forex ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาตลาด
  • อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ : อัตราแลกเปลี่ยนประเภทนี้ถูกควบคุมโดยรัฐบาลหรือธนาคารกลาง จึงมีเปลี่ยนแปลงที่ไม่มากนัก เว้นแต่รัฐบาลหรือธนาคารกลางจะจงใจทำให้เกิดขึ้น

ตัวอย่างเช่น หากอัตราแลกเปลี่ยนระหว่าง USD และ CAD อยู่ที่ 1.31 นั่นหมายความว่าทุก 1 USD ที่คุณมี คุณจะได้รับ 1.31 CAD

6. คำสั่ง Market vs. คำสั่ง Limit

การเข้าใจความแตกต่างระหว่างคำสั่ง market และคำสั่ง limit จะช่วยให้คุณควบคุมการเทรดได้ดียิ่งขึ้น โปรดดูตารางด้านล่างนี้:

ฟีเจอร์คำสั่ง marketคำสั่ง limit
การดำเนินการทันทีมีเงื่อนไข
ราคาราคาตลาดปัจจุบันราคาที่ระบุ
การคาดเคลื่อนเป็นไปได้ไม่เกิดขึ้น
ความเสี่ยงในการดำเนินการสูงต่ำ

จะใช้คำสั่งแบบไหนและเมื่อไร:

  • คำสั่ง market: ถูกใช้เมื่อจำเป็นต้องเข้าหรือออกจากตลาดอย่างรวดเร็ว หรือเมื่อจำเป็นต้องดำเนินการเทรดทันทีโดยไม่ต้องรอให้ถึงระดับราคาใดระดับราคาหนึ่ง
  • คำสั่ง limit: หากคุณมีราคาเป้าหมายในใจและไม่ต้องการจ่ายมากกว่านั้น ควรเลือกใช้คำสั่ง limit ซึ่งจะเป็นประโยชน์เมื่อคุณตั้งคำสั่ง stop-loss หรือคำสั่ง take-profit อีกด้วย

ในฐานะเทรดเดอร์ เครื่องมือจัดการความเสี่ยง เช่น คำสั่ง Stop Loss และ Take Profit คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับคุณ

7. คำสั่ง Stop Loss และ Take Profit สำหรับการจัดการความเสี่ยง

คำสั่ง Take Profit น่าจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการบรรลุเป้าหมายนี้ คุณไม่ควรเปิดการเทรดโดยไม่มีคำสั่ง stop-loss ยกเว้นในกรณีที่จำนวนเงินที่คุณวางคือหลักประกันทั้งหมดที่คุณได้คำนวณไว้ล่วงหน้าแล้ว

  • คำสั่ง take profit และคำสั่ง stop loss เป็นขีดจำกัดที่แน่นอน ซึ่งจะถูกเรียกใช้งานเมื่อราคาถึงจุดที่กำหนด เพื่อให้คุณได้รับกำไรตามแผนที่วางไว้หรือเพื่อป้องกันไม่ให้คุณสูญเสียเงินทั้งหมดในบัญชีจากการเทรดแค่ไม่กี่ครั้ง ซึ่งมักเกิดขึ้นบ่อยกับเทรดเดอร์หน้าใหม่

หมายเหตุ: คู่มือนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นคำแนะนำทางการเงิน แต่จัดทำเพื่อเป็นแนวมทางการศึกษาสำหรับการเริ่มต้นเทรดฟอเร็กซ์

นี่คือวิธีการทำงานของคำสั่ง Stop Loss และ Take Profit:

หากตลาดหรือคู่การซื้อขาย Forex ที่คุณเลือกเริ่มเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับที่คุณคาดการณ์ไว้ เมื่อราคาถึงจุดที่กำหนดไว้ล่วงหน้า การเทรดของคุณจะหยุดทันที

  • คำสั่ง stop loss ใช้ได้ทั้งสองทาง หมายความว่า คุณสามารถใช้ได้ทั้งในตำแหน่ง long และ short
  • เมื่อตั้งค่า stop loss ในตำแหน่ง short คำสั่งจะถูกเรียกใช้หากราคาของคู่เงินเพิ่มขึ้นและแตะถึงจุดที่คุณกำหนดไว้
  • หากตลาดเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่คุณต้องการ คำสั่ง take profit จะถูกใช้ ซึ่งเป็นการขายเพื่อทำกำไรเมื่อเปิดตำแหน่ง long หรือเป็นการซื้อคืนในราคาที่ต่ำกว่าสำหรับตำแหน่ง short

อย่างที่ผมบอก คำสองคำนี้มีความสำคัญอย่างมากในช่วงเริ่มต้นและควรปรับใช้อย่างต่อเนื่องในกลยุทธ์ของคุณ เนื่องจากอัตราส่วนของกำไร/ขาดทุนที่เป็นไปได้ของคุณจะกำหนดความสามารถในการทำกำไรโดยรวมของคุณ

Winning Percentage – เป็นคำที่อธิบายเปอร์เซ็นต์ของการเทรดที่ทำกำไรใน Forex เมื่อเปรียบเทียบกับการเทรดที่ขาดทุน ตัวอย่างเช่น หากชนะ 8 ใน 10 การเทรด หมายความว่าคุณมี Winning Percentage 80%

เคล็ดลับ: บางครั้งในระหว่างการเทรดจริง หากคำสั่ง stop loss ของคุณอยู่ใกล้กับราคาปัจจุบันมากเกินไป อาจถูกเรียกใช้งานโดยไม่ตั้งใจ สำหรับมือใหม่ คุณสามารถลองกำหนดพื้นที่การเทรดให้กว้างขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้ไม่โดน stop loss เร็วเกินไป

สต็อปลอส เทคโพรฟิต

การเลือกระหว่างการเทรด Spot, Futures, Options และ CFD

เมื่อทำการเทรด Forex นอกเหนือจากเลือกใช้แพลตฟอร์มการซื้อขายที่ได้มาตรฐาน เช่น MT4 หรือ Tradingview แล้ว สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจการเทรดในแต่ละประเภทให้ชัดเจน เนื่องจากแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะ ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และผลตอบแทนที่แตกต่างกัน นี่คือภาพรวมของตัวเลือกโดยทั่วไป:

1. การเทรด Spot

หากคุณต้องการแลกเปลี่ยนจาก AUD ไปยัง CHF ตลาด Forex แบบสปอต เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะคุณสามารถเทรดและดำเนินการขั้นต่อไปได้ทันที แม้ใช้ EA ในการซื้อขาย

คำจำกัดความ: การแลกเปลี่ยนโดยตรงระหว่างสกุลเงินหนึ่งกับอีกสกุลเงินหนึ่งในราคาตลาดปัจจุบัน

ข้อดี: เข้าใจง่าย มีสภาพคล่องสูงและค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมต่ำ
ข้อเสีย: ต้องถือสกุลเงินหลัก ซึ่งอาจทำให้คุณมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงราคาของสกุลเงิน

2. การเทรด Futures Contract

หากคุณเป็นนักเทรด Forex หน้าใหม่ การซ้อมใช้บัญชีทดลองจะทำให้คุณเข้าใจแพลตฟอร์มการเทรดและสกุลเงินที่คุณเทรดมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้การเลือกใช้โบรกเกอร์ forex สเปรดต่ำ ยังเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีในการประหยัดงบของคุณ

คำจำกัดความ: สัญญาที่กำหนดให้ผู้ซื้อจะต้องรับซื้อสกุลเงินและผู้ขายจะต้องส่งมอบสกุลเงินในจำนวนที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า โดยจะทำการซื้อขายในราคาที่ตกลงกัน และในวันที่กำหนดในอนาคต

ข้อดี: สามารถใช้เลเวอเรจเพื่อเพิ่มความสามารถของมาร์จิ้น และมีโอกาสในการป้องกันความเสี่ยงในอนาคต
ข้อเสีย: ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่สูงขึ้น ความเป็นไปได้ของการเรียกหลักประกันเพิ่ม และความเสี่ยงของการหมดอายุของสัญญา

หมายเหตุ: การเคลื่อนไหวของตลาดหรือความผันผวนของตลาดหุ้นอาจกระทบคุณอย่างรุนแรงและรวดเร็ว หากคุณเปิดรับความเสี่ยงมากเกินไปจากเลเวอเรจที่สูง

3. การเทรด Options

คำจำกัดความ: สัญญาให้สิทธิ์ที่แน่นอนแต่ไม่ผูกพันให้แก่ผู้ซื้อในการซื้อหรือขายสกุลเงินในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า โดยสามารถทำได้ก่อนวันหมดอายุที่กำหนดหรือในวันที่หมดอายุของสัญญา

ข้อดี: ความเสี่ยงค่อนข้างต่ำและมีความยืดหยุ่นพร้อมโอกาสในการทำกำไรที่สูง
ข้อเสีย: ราคาของ Options ลดลงตามเวลา การตั้งราคาอาจซับซ้อน และมีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่สูงขึ้น

เคล็ดลับ: โปรดให้ความสนใจกับข่าวสารและประกาศทางการเงินที่สำคัญ หากคุณกำลังเทรดคู่เงินใดกับดอลลาร์สหรัฐฯ ให้ตรวจสอบว่ามีการประกาศเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย การเรียกร้องเรื่องการว่างงาน และข่าวอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงตลาดการเงิน

4. การเทรด CFD (หรือ สัญญาซื้อขายส่วนต่าง)

คำจำกัดความ: สัญญาที่ช่วยให้สามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของราคาคู่เงินได้โดยไม่จำเป็นต้องถือสินทรัพย์พื้นฐานจริง

  • ข้อดี: ใช้เลเวอเรจได้ มีความยืดหยุ่น และความสามารถที่สูงในการเทรดทั้งตำแหน่ง long และ shorty
  • ข้อเสีย: เสี่ยงต่อการถูกเรียกหลักประกัน ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมข้ามคืน และไม่สามารถควบคุมสินทรัพย์พื้นฐานได้อย่างเต็มที่

ปัจจัยที่ต้องพิจารณาเมื่อต้องเลือกการเทรดในแต่ละประเภท

  1. ระดับความเสี่ยง: ตระหนักถึงจำนวนเงินที่คุณสามารถสูญเสียและทัศนคติของคุณต่อการขาดทุน
  2. วัตถุประสงค์การลงทุน: คุณมองหาผลกำไรจากการเก็งกำไรระยะสั้น, การเติบโตระยะยาว หรือการลดความเสี่ยง
  3. สไตล์การเทรด: คุณอาจเลือกใช้การเทรดแบบ scalping, การเทรดรายวัน หรือการเทรดแบบสวิง ขึ้นกับกลยุทธ์การเทรดที่แตกต่างกัน อีกสไตล์หนึ่งคือการ copy trade ซึ่งคุณจะคัดลอกการเทรดจากผู้ให้สัญญาณ
  4. ระดับประสบการณ์: เทรดเดอร์มือใหม่จะสามารถเข้าใจการเทรด Spot หรือ CFD ได้เร็วกว่าแบบอื่น ส่วนการเทรด Futures และ Options มักจะเหมาะเทรดเดอร์มืออาชีพมากกว่า
  5. เงินทุน: แน่นอนว่าจำนวนเงินทุนที่คุณมีอยู่จะส่งผลต่อตัวเลือกของคุณด้วย เนื่องจากประเภทการเทรดที่แตกต่างกันอาจต้องการเงินทุนเริ่มต้นที่มากหรือน้อยแตกต่างกันในบางกรณี

ข้อผิดพลาดที่เทรดเดอร์มือใหม่เจอบ่อยๆ

เช่นเดียวกับตลาดการเงินอื่นๆ การเทรด Forex ก็มีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย ผมเองก็ทำผิดพลาดมาไม่น้อย และแต่ละข้อผิดพลาดก็สอนบทเรียนที่ดีให้กับผม นี่คือข้อผิดพลาดทั่วไปบางประการที่ควรหลีกเลี่ยง:

1. การเทรดมากเกินไป: การเทรดบ่อยเกินไปและเปิดตำแหน่งใหญ่เกินไปอาจทำให้คุณขาดทุนมหาศาล คุณควรวางแผนการเทรดอย่างมีวินัย แล้วปฏิบัติตามแผนโดยปราศจากการใช้อารมณ์ตัดสิน

2.ไม่ศึกษาเพิ่มเติม: ใช้เวลาที่มีค่าไปกับการเรียนรู้เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของตลาด การวิเคราะห์เชิงเทคนิค การเลือกใช้แพลตฟอร์ม เช่น MT4/5 หรือ ctrader และการวิเคราะห์พื้นฐาน ลองถามตัวเองว่า “อินดิเคเตอร์คืออะไร” คำถามเบื้องต้นเหล่านี้อาจช่วยคุณเข้าใจตลาดได้ดียิ่งขึ้น

3.ไม่ให้ความสนใจกับข่าวและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ: ให้ความสนใจกับตัวชี้วัดเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ข้อมูลใหม่จากธนาคารกลาง และข่าวทางการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาตลาดฟอเร็กซ์

4. ไม่ใช้คำสั่ง stop loss: คำสั่ง stop loss เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการความเสี่ยง ช่วยให้คุณสามารถหยุดการขาดทุนได้โดยอัตโนมัติเมื่อราคาขยับไปในทิศทางที่ไม่เอื้ออำนวย

5การเทรดด้วยอารมณ์: อย่าตัดสินใจตามอารมณ์และความกลัว ต้องยึดตามแผนการเทรดของคุณ หากคุณขาดทุนและใช้ลิมิตประจำวันหมดแล้ว อย่าฝืนเทรดอีกจนกว่าจะจบวัน

วิธีการเริ่มต้นเทรด Forex ครั้งแรกของคุณ

การเริ่มต้นเทรด FX อาจเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณรอคอยที่จะได้สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ผมแนะนำให้เริ่มต้นด้วยจำนวนเงินที่น้อยก่อน และใช้กลยุทธ์การเทรดร่วม

เคล็ดลับ: พิจารณาให้ดีก่อนว่าแอพเทรด Forex ใดเหมาะสมกับความต้องการและรายการตรวจสอบการใช้งานของคุณก่อนที่จะลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก

นี่คือแนวทางที่เข้าใจง่าย ซึ่งจะช่วยให้คุณเทรดครั้งแรกได้อย่างราบรื่น:

1. การเลือกคู่สกุลเงิน: เมื่อคุณซื้อคู่สกุลเงิน นั่นหมายถึง คุณกำลังขายสกุลเงินอ้างอิงเพื่อแลกกับสกุลเงินหลัก ทำการวิจัยเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดและตัวชี้วัดเศรษฐกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับคู่สกุลเงินที่คุณสนใจ และตัดสินใจอย่างชาญฉลาด

2. การคำนวณขนาดตำแหน่ง: คุณต้องตัดสินใจเกี่ยวกับจำนวนที่คุณต้องการเทรด ซึ่งหมายถึงขนาดตำแหน่ง ข้อนี้มีความสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้คุณทราบถึงระดับความเสี่ยงที่คุณต้องแบกรับในแต่ละครั้ง ก่อนที่คุณจะเริ่มเทรดในบัญชีจริง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจวิธีการทำงานของแพลตฟอร์มของคุณ เช่น วิธีการตั้งคำสั่ง market และคำสั่ง limit เป็นต้น

3. คุณสามารถเข้าตลาดได้ทันที ด้วยคำสั่ง market ในราคาตลาดที่กำลังดำเนินอยู่ หรือวางคำสั่งรอดำเนินการซึ่งจะถูกดำเนินการในภายหลังตามราคาที่คุณกำหนดไว้ล่วงหน้า

4. ในการปิดตำแหน่ง เมื่อคุณบรรลุเป้าหมายการเทรดหรือหากตลาดเคลื่อนไปในทิศทางตรงกันข้ามกับคุณ ตอนนี้เป็นเวลาที่จะปิดตำแหน่งของคุณ

โน้ต: กฎทั่วไปคือคุณไม่ควรเสี่ยงในจำนวนที่มากเกินไปในการเทรดหนึ่งครั้ง โดยปกติแล้วควรอยู่ที่ประมาณ 1-2% ใช้ตัวคิดขนาดตำแหน่งหรือใช้สูตรง่ายๆ เพื่อคำนวณขนาดที่เหมาะสมตามยอดบัญชีและระยะ stop-loss

สรุป

การประสบความสำเร็จในการเทรดเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ความรับผิดชอบ การศึกษาอย่างต่อเนื่อง และการมีผู้ให้คำแนะนำที่ดี ลองคิดดูนะ ถ้าคุณเป็นนักบาสเกตบอลหน้าใหม่ คุณจะไปแข่งกับทีมชั้นนำใน NBA และคิดว่าจะชนะได้เหรอ ใน Forex ก็เช่นกัน ผู้คนในสนามฟอเร็กซ์เหล่านี่อาจเป็นคนที่มีปริญญาเอกในด้านคณิตศาสตร์และการเงิน, ธนาคาร, hedge fund ที่ใช้อัลกอริธึมของตนและ AI เพื่อให้ได้กำไร

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเทรดระยะยาว ระยะสั้น หรือชื่นชอบในเทคนิค scalping หากคุณกำลังต้องการช่วงชิงโอกาสในการทำกำไรในสนามที่ดุเดือดและแข่งกับคนที่ชาญฉลาดเหล่านั้น คุณก็ควรมีการคำนวนและวางแผนมาเป็นอย่างดี และเมื่อคุณทำกำไรได้ อย่าให้ความมั่นใจมากเกินไปเข้ามาครอบงำเพราะตลาดมักจะหลอกคุณด้วยผลกไรมหาศาลก่อนเสมอ แต่คุณควรรักษาและทำตามแผนที่วางไว้โดยภาพรวม

ความสำเร็จใน Forex มักค่อยๆ เกิดขึ้นตามเวลา และหลายคนได้ค้นพบจุดแข็งของตัวเองเมื่อเวลาเทรดไปเรื่อยๆ คุณควรเข้าใจในคาดหวังของคุณและตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน อย่าลืมที่จะมีวินัยในการปฏิบัติตามกลยุทธ์ของคุณและปรับปรุงมันเมื่อจำเป็น ควรระวังความเสี่ยงที่มากเกินไปจากการใช้เลเวอเรจสูง เพราะตลาดสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอและอาจอยู่ในสภาวะที่ไม่เอื้อต่อการเทรดของคุณเป็นเวลานานกว่าที่คิด

Forex เปิดโอกาสให้ทุกคนที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตและมีบัญชีธนาคารสามารถเริ่มต้นการเทรดและการเก็งกำไรได้จากทุกที่ แต่การจะประสบความสำเร็จต้องใช้ความทุ่มเท วินัย ความมุ่งมั่น และการอดทนรอกว่าที่ราคาจะถึงคำสั่ง take profit ของคุณ

ในฐานะเทรดเดอร์คนหนึ่ง ผมหวังว่าจะสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลดีๆ ได้ตลอดเวลา ดังนั้นหวังผมเองก็หวังว่าคุณจะได้อะไรที่มีประโยชน์จากคู่มือนี้เช่นกัน

คำถามที่พบบ่อย:

อินดิเคเตอร์คืออะไร: อินดิเคเตอร์คือเครื่องมือวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาในอดีตและแนวโน้มในอนาคต เพื่อระบุโอกาสในการเทรดที่เป็นไปได้ อินดิเคเตอร์ที่ได้รับความนิยมบางตัว ได้แก่ MA, RSI, และ MACD (ไม่มีอินดิเคเตอร์ใดที่ใช้ได้ผลซะทีเดียว ดังนั้น โปรดใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจ อย่าใช้อินดิเคเตอร์ตัวเดียวในการตัดสินใจเทรดฟอเร็กซ์)

มาร์จิ้นใน Forex คืออะไร: มาร์จิ้นใน Forex คือหลักประกันที่ใช้เพื่อเข้าถึงตำแหน่งที่มีมูลค่ามากกว่าจำนวนเงินในบัญชีของคุณจริงๆ มาร์จิ้นช่วยให้คุณขยายขนาดทุนของคุณได้ หมายความว่าคุณจะมีเงินในการเทรดมากกว่าที่คุณได้ฝากเข้าในบัญชีจริงๆ

จะรู้ได้อย่างไรว่าโบรกเกอร์ดีไหม: ระยะเวลาที่ดำเนินกิจการ เช่น โบรกเกอร์ดำเนินการมานานแค่ไหนแล้ว ประวัติการดำเนินงานที่ยาวนานอาจบ่งชี้ถึงความมั่นคงและประสบการณ์

แพลตฟอร์ม MT4/MT5 เหมาะสมกับเทรดเดอร์มือใหม่หรือไม่: ใช่ เพราะแพลตฟอร์ม MT4/MT5 มีเครื่องมือการเทรดที่ครบครันและสามารถใช้ได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์ แท็ปเล็ตและโทรศัพท์มือถือ

ความคิดเห็นจากลูกค้า: ตรวจสอบรีวิวและคำรับรองจากเทรดเดอร์คนอื่นๆ อย่างไรก็ตามควรระมัดระวังเพราะไม่ใช่ทุกรีวิวที่เป็นความจริง และบางรีวิวอาจเป็นหน้าม้า

About the author:

Justin Grossbard

Having traded since 1998, Justin is the CEO and Co-Founded CompareForexBrokers in 2004. Justin has published over 100 finance articles from Forbes, Kiplinger to Finance Magnates. He has a Masters and Commerce degree and has an active role in the fintech community. He has also published a book in 2023 on on investing and trading.

Back to top