การเทรด Forex สำหรับมือใหม่ มีสิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจอยู่อย่างหนึ่งว่าการทำกำไรในตลาด Forex ไม่ใช่เรื่องง่าย การเคลื่อนไหวของตลาดเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก และได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย ตั้งแต่สภาวะเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ย ไปจนถึงเหตุการณ์ทางการเมืองและข่าวสารระดับโลก
ด้วยเหตุนี้ คุณควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีความรู้เกี่ยวกับการเทรด Forex อย่างรอบด้าน เพื่อที่คุณจะได้รู้ว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่คืออะไร ในบทความนี้ ผมจะให้ข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นเพื่อสร้างพื้นฐานที่ดี ก่อนที่คุณจะเริ่มทำการเทรดครั้งแรก และให้ข้อคิดเกี่ยวกับหลุมพรางที่ควรหลีกเลี่ยงในฐานะมือใหม่
Forex คืออะไร
ถ้าจะให้อธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด Forex คือการแลกเปลี่ยนสกุลเงินเฟียตสองสกุล เมื่อคุณทำการเทรด คุณจะต้องแลกเปลี่ยนสกุลเงินหนึ่งกับอีกสกุลเงินหนึ่งเสมอ การเทรดเหล่านี้เกิดขึ้นในตลาดฟอเร็กซ์ ซึ่งคุณสามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมงในห้าวันต่อสัปดาห์
ตลาดฟอเร็กซ์เป็นตลาดการซื้อขายแบบกระจายศูนย์ ซึ่งหมายความว่าตลาดไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ ณ ที่ตั้งทางกายภาพที่ใดที่หนึ่ง ตลาด Forex เป็นลักษณะเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ที่กระจายทั่วโลก เชื่อมโยงสถาบันการเงิน โบรกเกอร์ และเทรดรายเดอร์ย่อยเข้าด้วยกัน
โบรกเกอร์ Forex คืออะไร
โบรกเกอร์ Forex คือบริษัทที่ให้โครงสร้างพื้นฐานที่คุณต้องการในการเข้าถึงตลาด Forex ฟีเจอร์ต่างๆ ที่โบรกเกอร์ Forex ที่ดีที่สุดควรมีให้ได้แก่:
- แพลตฟอร์มการเทรด (ซอฟต์แวร์ที่คุณจะต้องใช้ในการเทรด)
- เครื่องมือวิเคราะห์ตลาด
- ราคาที่อัปเดตแบบเรียลไทม์และการดำเนินการเทรด
- การเข้าถึงเลเวอเรจ (เงินทุนที่ช่วยให้คุณสามารถเทรดได้มากกว่าจำนวนเงินที่ฝาก)
นอกเหนือจากการเทรดฟอเร็กซ์แล้ว คุณสามารถซื้อขายผลิตภัณฑ์ CFD ทางการเงินอื่นๆ เช่น ทองคำ เงิน ดัชนี หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และสกุลเงินดิจิทัล บนโบรกเกอร์เหล่านี้ได้ด้วย
โดยทั่วไปแล้วโบรกเกอร์ Forex ถูกแบ่งเป็นสองประเภท:
1.โบรกเกอร์แบบ no dealing desk โบรกเกอร์ประเภทนี้ช่วยในการถ่ายโอนธุรกรรมของคุณไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่องในตลาดสกุลเงินขนาดใหญ่ คำสั่งเทรดของคุณจะไม่ผ่านเซิร์ฟเวอร์หลักของพวกเขา ดังนั้น จึงถูกเรียกว่าโบรกเกอร์แบบ no dealing desk
2. ผู้ให้บริการสภาพคล่อง – หรือ b-book brokers โบรกเกอร์เหล่านี้เป็นคู่สัญญาของการเทรดของคุณ ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีหน้าที่ดำเนินการตามคำสั่งซื้อขายและดูแลสภาพคล่องของคุณ ทั้งนี้ผู้ให้สภาพคล่องเป็นที่นิยมในกลุ่มมือใหม่ เนื่องจากพวกเขาไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมและนำเสนอพอร์ทัลการศึกษาเกี่ยวกับ Forex ที่ดีกว่า
โบรกเกอร์หลายแห่งนำเสนอทั้งบริการผู้ให้บริการสภาพคล่องและ ECN โดย MetaTrader 4 เป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูงสุดเนื่องจากความน่าเชื่อถือและฟีเจอร์ที่หลากหลาย
โดยรวมแล้ว คุณไม่ควรกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับการเลือกประเภทโบรกเกอร์ แต่ละแบบล้วนมีจุดเด่นของตนเอง เช่น ผู้ให้บริการสภาพคล่องมักเสนอการเทรดฟอเร็กซ์แบบไม่มีค่าธรรมเนียมและมีเครื่องมือจัดการความเสี่ยงที่ดีกว่า ส่วนโบรกเกอร์แบบ no dealing desk มีตัวเลือกการเทรดที่มีค่าธรรมเนียมและไม่มีค่าธรรมเนียม ในบัญชีแบบ RAW คุณจะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม แต่แลกมาด้วยสเปรดที่ต่ำมาก และนั่นคือเหตุผลที่เหล่า scalper ทั้งหลายเลือกใช้โบรกเกอร์ประเภท no dealing desk
เคล็ดลับ: เพื่อเริ่มเทรด คุณจะต้องลงทะเบียนกับโบรกเกอร์ การมองหาโบรกเกอร์ Forex ที่มีโบนัสฟรีอาจเป็นประโยชน์ ซึ่งหมายความว่าโบรกเกอร์จะให้เงินสดหรือเครดิตการเทรดเพิ่มเติมแก่คุณ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าโบรกเกอร์มีคุณสมบัติที่จำเป็น เช่น สเปรดต่ำ ความหลากหลายของเครื่องมือการเงิน และผลิตภัณฑ์การเทรดที่ดี
ประเภทโบรกเกอร์ | ฟีเจอร์หลัก | ดีที่สุดสำหรับ | แพลตฟอร์ทเทรด | โบนัสที่มักจะมี |
---|---|---|---|---|
ผู้สร้างสภาพคล่อง | • สเปรดต่ำ • ไม่มีค่าคอมมิชชั่น • แหล่งข้อมูลการศึกษาที่ดีกว่า • เหมาะสำหรับมือใหม่ | เทรดเดอร์มือใหม่ที่ต้องการความเรียบง่าย | • MT4/MT5 • แพลตฟอร์มของตัวเอง | • โบนัสฝากต้อนรับ • เครดิตการเทรด • การเทรดแบบไม่มีความเสี่ยง |
No Dealing Desk (ECN) | • การเข้าถึงตลาดโดยตรง • การดำเนินการที่รวดเร็ว • ราคาที่โปร่งใส • เหมาะสำหรับ scalping | เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ | • MT4/MT5 • แพลตฟอร์มขั้นสูง | • ส่วนลดตามปริมาณการเทรด • โปรแกรมคืนเงิน |
โซเชียลเทรด/copy trade | • ติดตามเทรดเดอร์ผู้เชี่ยวชาญ • คัดลอกกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จ • ฟีเจอร์ชุมชน • การติดตามประสิทธิภาพ | • มือใหม่ที่เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ • เทรดเดอร์แบบ passive | • แพลตฟอร์มสำหรับการคัดลอกโดยเฉพาะ • MT4 แบบมีฟีเจอร์คัดลอก | • เครดิตการ copy trade • ค่าธรรมเนียมที่ลดลงสำหรับเทรดเดอร์ที่ได้รับความนิยม |
การเทรดฟอเร็กซ์ในทางปฏิบัติคืออะไร
การเทรด Forex คือการซื้อ ขาย หรือแลกเปลี่ยนคู่สกุลเงิน เนื่องจากค่าเงินของแต่ละสกุลในคู่การซื้อขายจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดังนั้น การเทรด forex จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างกำไรจากการคาดการณ์ทิศทางการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องของสกุลเงินหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอีกสกุลเงินหนึ่ง
ให้ผมแสดงให้คุณเห็นว่าการเทรด Forex ทำงานอย่างไร ผ่านตัวอย่างในสองเหตุการณ์นี้: สมมติว่าคุณอยู่ในประเทศไทยและเชื่อว่าดอลลาร์สหรัฐจะมีค่าสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินบาท
อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันคือ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ และคุณตัดสินใจที่จะเปิดสถานะคำสั่งซื้อ Long (BUY) $1,000 ด้วยเงินบาทของคุณ
หากดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและอัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนเป็น 35.75 คุณจะสามารถขายดอลลาร์ของคุณกลับไปเป็นเงินบาทได้มากกว่าที่คุณจ่ายไป มาแบ่งการเทรดนี้ออกเป็นทีละขั้นตอนกัน:
- สภาพเริ่มต้น: USD/THB ที่ 35.50
- การดำเนินการของคุณ: ซื้อ 1,000 USD (คำสั่งซื้อ Long – ซื้อคู่สกุลเงิน โดยคาดว่าราคาจะสูงขึ้น)
- การเคลื่อนไหวของราคา: USD/THB ขึ้นไปที่ 35.75
- ผลลัพธ์: คุณขายที่ราคาใหม่ ดังนั้นคุณจะได้กำไร 0.25 บาทต่อดอลลาร์ (หักค่าธรรมเนียมการเทรด)
ในการเทรดนี้ เนื่องจากเงินบาทตอนนี้ถูกลง คุณสามารถซื้อเงินบาทได้มากขึ้นด้วยจำนวนดอลลาร์สหรัฐเท่าเดิม
หมายเหตุ: เนื่องจากคุณถืออยู่ $1,000 กำไรทั้งหมดจะคำนวณดังนี้: 1,000 คูณด้วย 0.25 (ความแตกต่างของการเคลื่อนไหวราคา) = 250 บาท
มาดูการเทรดที่ขาดทุนกันบ้าง ซึ่งราคาตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับคุณ:
- สภาพเริ่มต้น: USD/THB ที่ 35.50
- การดำเนินการของคุณ: ขาย 1,000 USD (Short (SELL) หมายถึงการขายคู่สกุลเงิน โดยคาดว่าราคาจะลดลง)
- การเคลื่อนไหวของราคา: USD/THB ขึ้นไปที่ 35.75
- ผลลัพธ์: คุณขาย 1,000 USD ในขณะที่ราคาใหม่อยู่ที่ 35.75 บาท/USD
เพื่อปิดตำแหน่ง short ของคุณ คุณต้องซื้อ 1,000 USD คืนที่อัตราใหม่ คือ 1 USD = 35.75 บาท หมายความว่าคุณจะขาดทุน 0.25 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งคุณจะขาดทุนทั้งหมด 0.25 บาทต่อดอลลาร์ x 1,000 USD = 250 บาท
แนวคิดหลักใน Forex สำหรับมือใหม่
นอกจากจะต้องเข้าใจว่าโบรกเกอร์ที่ดีที่สุดเป็นอย่างไรแล้ว ผมอยากให้คุณลองทดสอบความเข้าใจในการซื้อขาย ด้วยการลองตอบคำถามนี้กันก่อน: อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ราคาของสกุลเงินขึ้นหรือลง? มันอาจดูเหมือนง่าย แต่การเข้าใจว่าสิ่งใดที่ทำให้ราคาของสกุลเงินหนึ่งขึ้นหรือลงนั้นสำคัญมากสำหรับคุณในฐานะเทรดเดอร์
การเข้าใจแนวคิดของอุปสงค์และอุปทาน
เหมือนกับตลาดอื่นๆ ราคาถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทาน ในที่นี้ คือความต้องการสกุลเงินและสภาพคล่องที่มีอยู่ (ความขาดแคลน)
ในการเป็นเทรดเดอร์ที่ดี คุณจะต้องทำความคุ้นเคยกับกราฟสกุลเงิน (หรือที่เรียกว่าอินดิเคเตอร์) เครื่องมือเหล่านี้แสดงราคาสกุลเงินในรูปแบบแท่งเทียนสีเขียวและสีแดงหรือลายเส้นง่ายๆ คุณสามารถดูการเปลี่ยนแปลงของราคาในหลายช่วงเวลา แท่งเทียนแต่ละแท่งจะแทนช่วงเวลาที่เฉพาะเจาะจง ตั้งแต่ไม่กี่วินาทีจนถึงหลายเดือน
- ทุกแท่งที่คุณเห็นในกราฟรายเดือนจริง ๆ แล้วประกอบขึ้นจากแท่งเล็กๆ เมื่อคุณซูมเข้าไปจะเห็นมุมมองรายสัปดาห์ รายวัน หรือรายนาที
- ทุกครั้งที่มีคนซื้อสกุลเงิน จะมีคนอีกฝ่ายที่กำลังขายมันอยู่
- แต่ละแท่งในกราฟของคุณ แทนเทรดเดอร์ทั้งหมดที่กำลังเทรดคู่สกุลเงินดังกล่าวในช่วงเวลานั้นไม่ว่าจะเป็นการซื้อ (สีเขียว) หรือการขาย (สีแดง)
การเคลื่อนไหวของตลาดส่วนใหญ่เกิดจากผู้เล่นรายใหญ่ เช่น ธนาคาร, hedge fund, และนักลงทุนแบบสถาบัน แม้ว่านักเทรดรายย่อยจะมีส่วนร่วมด้วย แต่หน่วยงานขนาดใหญ่เหล่านี้ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณ
การเคลื่อนไหวของราคาเป็นเรื่องที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา: เมื่อผู้ซื้อมีจำนวนมากกว่าผู้ขาย ราคาจะขึ้น และเมื่อจำนวนผู้ขายมีมากกว่าผู้ซื้อ ราคาจะลดลง กล่าวอีกอย่างคือ ความต้องการสกุลเงินเฉพาะน้อยทำให้สภาพคล่องของสกุลเงินนั้นในตลาดน้อยลง เมื่อมองในภาพรวม การเคลื่อนไหวเหล่านี้มักถูกกระตุ้นโดยเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ ข่าวสาร และการพัฒนาระหว่างประเทศ
หากในตอนนี้คุณมองภาพรวมออกแล้ว พวกเราลองมาลงรายละเอียดทางเทคนิคและจำแนกคำศัพท์ Forex กันดีกว่า:
คู่ Forex
อย่างที่ผมได้บอกไว้ในตอนต้น ในการเทรด Forex นักลงทุนต้องคาดการณ์และทำการซื้อขายด้วยสกุลเงินสองประเภท ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า “คู่การซื้อขาย”
คู่การซื้อขายใน forex ประกอบด้วยสกุลเงินหลักซึ่งเป็นสกุลเงินตัวแรก และสกุลเงินอ้างอิงซึ่งเป็นสกุลเงินตัวหลัง
- คู่สกุลเงินหลัก เป็นคู่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตลาดโลกคือ มักจะรวมถึง GBP, AUD, EUR, JPY, CHF และ NZD กับ USD ได้แก่ EUR/USD, GBP/USD และ USD/JPY ซึ่งคู่การซื้อขายเหล่านี้มีปริมาณการเทรดที่มากที่สุดและมีสภาพคล่องสูงที่สุด
- คู่สกุลเงินรอง โดยหลักการมีสกุลเงินเดียวกันกับคู่หลัก แต่มีข้อยกเว้น คือจะต้องไม่เกี่ยวข้องกับดอลลาร์สหรัฐ เช่น GBP/EUR, EUR/CHF, AUD/JPY
- คู่สกุลเงินเกิดใหม่ ประกอบด้วยสกุลเงินหลักที่มาจับคู่กับสกุลเงินของแหล่งเศรษฐกิจที่เล็กลงมา ซึ่งเป็นที่ที่คุณจะพบคู่สกุลเงินบาท
*หมายเหตุ: สกุลเงินสำรองโลกคือ ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ใช้มากที่สุดในการค้าระหว่างประเทศ สกุลเงินี้จึงมีสภาพคล่องสูงและมีอิทธิพลเป็นอย่างมาก
แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับ Forex ที่ควรรู้
ก่อนทำการเทรด Forex มีแนวคิดบางอย่างที่คุณควรศึกษา ซึ่งรวมถึง Pips, ล็อต และสเปรด
1. Pip และล็อต
Pip
Pip (ย่อมาจาก Percentage In Point) คือหน่วยวัดการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าสกุลเงินแต่ละตัวในคู่สกุลเงิน การเปลี่ยนแปลงแต่ละ pip แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าในหน่วยที่เล็กที่สุดที่คู่สกุลเงินสามารถทำได้ ตัวอย่างเช่น หาก EUR/USD เคลื่อนที่จาก 1.1000 เป็น 1.1001 นั่นแหละคือการเคลื่อนไหว 1 pip
ล็อต
ล็อต เป็นหน่วยการวัดอีกหนึ่งประเภทที่ใช้ในการกำหนดขนาดการเทรดให้เป็นมาตรฐาน การวัดนี้ใช้เพื่อกำหนดจำนวนเงินที่คุณต้องใช้เพื่อทำการเทรด อีกทางหนึ่ง ล็อต คือชุดมาตรฐานของหน่วยสกุลเงินที่เราใช้ในการวัดขนาดการเทรดของเรา ตัวอย่างเช่น:
- ล็อตมาตรฐาน (Standard Lot) คือ 100,000 หน่วยของสกุลเงินพื้นฐานของคุณ
- มินิล็อต (Mini Lot) คือ 10,000 หน่วยของสกุลเงินพื้นฐานของคุณ
- ไมโครล็อต (Micro Lot) คือ 1,000 หน่วยของสกุลเงินพื้นฐานของคุณ
- และนาโนล็อต (Nano Lot) ที่พบได้ยาก คือ 100 หน่วยของสกุลเงินพื้นฐานของคุณ
หมายเหตุ: โบรกเกอร์ให้เทรดเดอร์กู้ยืมจากพวกเขาเพื่อใช้ล็อตในขนาดที่ใหญ่ขึ้น ผ่านการใช้เลเวอเรจ (leverage) โดยจำนวนที่ให้จะแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขของโบรกเกอร์ แต่ยิ่งการกู้ยืมสูงขึ้น ความเสี่ยงก็ยิ่งมากขึ้น
2. ราคาเสนอและราคาเรียก
เมื่อคุณกำหนดขนาดล็อตสำหรับการเทรดแล้ว สิ่งสำคัญถัดมาที่ต้องพิจารณาคือราคาเสนอและราคาเรียก:
- ราคาเสนอซื้อ คือ ราคาที่ผู้ให้บริการสภาพคล่องหรือโบรกเกอร์จะซื้อคู่สกุลเงินที่ระบุ
- ราคาเสนอขาย หมายถึง ราคาที่ผู้ให้บริการสภาพคล่องต้องการขายคู่สกุลเงินที่ระบุ
- ความแตกต่างระหว่างราคาเสนอและราคาเสนอขายเรียกว่า สเปรด ซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญที่คุณไม่ควรมองข้ามเมื่อเลือกโบรกเกอร์
ตอนนี้เรามาลงลึกเรื่องสเปรดกันเถอะ เพราะมันมีความสำคัญพอที่จะต้องมีส่วนของมันเอง:
หมายเหตุ:
ในฐานะเทรดเดอร์ คุณต้องการให้สเปรดแคบที่สุดหรือต่ำที่สุด สิ่งนี้จะช่วยให้คุณมั่นใจว่ากำไรของคุณอยู่ในระดับที่ดีที่สุด และจะไม่เสียเงินที่ควรจะได้ไปกับการคาดเคลื่อนของราคา
3. สเปรด
สเปรด คือ ความแตกต่างระหว่างราคาเสนอขายและซื้อของคู่สกุลเงิน และถูกนับเป็นค่าใช้จ่ายในการเทรด อีกทั้งเป็นวิธีที่โบรกเกอร์ forex ใช้ทำกำไร ตัวอย่างเช่น หาก EUR/USD มีราคาเสนอซื้อที่ 1.1000 และราคาเสนอขายที่ 1.1002 สเปรดจะเท่ากับ 2 pips
ในการคำนวณสเปรด คุณจะต้องหักราคาเสนอซื้อออกจากราคาเสนอขาย ตัวอย่างเช่น หาก EUR/USD มีราคาเสนอที่ 1.1000 และราคาเรียกที่ 1.1002 สเปรดจะเท่ากับ 2 pips
ในฐานะมือใหม่ คุณต้องรู้ว่า:
- สเปรดที่แคบลง หรือความแตกต่างที่เล็กลงระหว่างราคาเสนอซื้อและขาย โดยทั่วไปหมายถึงค่าใช้จ่ายในการเทรดที่ต่ำกว่า
- คู่หลักมักมีสเปรดที่แคบกว่า เนื่องจากสภาพคล่องสูงมาก อาจต่ำถึง 0 pips ในบัญชีแบบ RAW
- สเปรดอาจกว้างขึ้นในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน หรือระหว่างการประกาศข่าวสำคัญ
การรู้เรื่องสเปรดยังช่วยให้คุณสามารถคำนวณผลกำไรและขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้ หากคุณกำลังจะใช้กลยุทธ์การเทรดระยะสั้น
4. เลเวอเรจและมาร์จิ้น
นี่บทเรียนราคาแพงที่สุดสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ และผมก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น ดังนั้น โปรดให้ความสนใจกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ
เลเวอเรจ เป็นตัวช่วยที่โบรกเกอร์จะให้เงินทุนจำนวนมากขึ้นแก่คุณเพื่อใช้ในการเทรด ทำให้คุณสามารถเข้าถึงตลาดได้มากขึ้น แม้คุณจะเงินที่เป็นหลักประกันสำหรับการเปิดสถานะการเทรดในจำนวนน้อยก็ตาม (เรียกว่า มาร์จิ้น)
- มาร์จิ้น หมายถึง จำนวนเงินที่คุณต้องฝากกับโบรกเกอร์ของคุณเพื่อใช้เลเวอเรจ มาร์จิ้นคือหลักประกันที่ปลดล็อคความสามารถของคุณในการกู้ยืม ซึ่งจะแสดงค่าเป็นเปอร์เซ็นต์
- เลเวอเรจ คือ เงินที่คุณกู้ยืมมาใช้ในการเทรด ซึ่งจะแสดงค่าเป็นอัตราส่วน
นี่คือตัวอย่างของการเทรดโดยใช้เลเวอเรจ
- หากคุณมีเงินทุน $100 ในบัญชีของคุณ การมีเลเวอเรจ 1:100 จะทำให้คุณสามารถกู้ยืมเงินได้ $100 สำหรับทุกๆ หนึ่งดอลลาร์ที่คุณฝากเป็นหลักประกัน กล่าวอีกอย่างคือ คุณจะต้องมีมาร์จิ้น 1% ในบัญชีของคุณเพื่อเข้าถึงเลเวอเรจนี้
- เลเวอเรจ จะเพิ่มทั้งผลกำไรและขาดทุนที่คุณอาจได้รับจากการเทรด กล่าวคือ ยิ่งใช้เลเวอเรจสูงเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายสำหรับแต่ละการเคลื่อนไหวของราคาในกราฟก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
แน่นอน นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณต้องใช้เลเวอเรจที่สูงที่สุดเพื่อเพิ่มขนาดตำแหน่งของคุณโดยอัตโนมัติ การเทรดแต่ละครั้งต้องมีการประเมินความเสี่ยง และคุณจะต้องพิจารณาว่าคุณจะยอมรับความเสี่ยงจากเลเวอเรจได้มากเพียงใด
หมายเหตุ: หากคุณพึ่งเริ่มต้นเทรด คุณไม่จำเป็นต้องใช้เลเวอเรจที่สูงเกินไป เพราะอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินทุนโดยไม่จำเป็น และอาจใช้แพลตฟอร์ม เช่น tradingview เพื่อดูและคัดลอกการเทรดจากเทรดเดอร์มืออาชีพแทนการเทรดด้วยตนเอง
ตำแหน่ง Long และ Short
ในฐานะเทรดเดอร์ คุณเพียงต้องคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาคู่ Forex และดำเนินการคำสั่ง 2 ประเภท คือ 1) การเปิดตำแหน่งคำสั่งซื้อ (long)
- ตำแหน่ง long หมายถึง การที่คุณกลายเป็นผู้ซื้อคู่สกุลเงิน โดยคาดว่าราคาของสกุลเงินนั้นจะเพิ่มขึ้น
- สิ่งนี้หมายความว่า กำไรของคุณจะเพิ่มขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของราคา เพราะเมื่อปิดการเทรด คุณจะขายได้ในราคาที่สูงกว่าราคาที่คุณซื้อมา
- ตัวอย่าง: หากคุณซื้อ EUR/USD ที่ 1.10 และจากนั้นราคาขึ้นไปที่ 1.15 คุณจะได้รับกำไรจาก ความแตกต่าง 0.05 คูณด้วยเลเวอเรจที่คุณใช้กับเงินลงทุนตั้งต้นที่คุณตัดสินใจลงทุน
ในทางตรงกันข้าม 2) การเปิดตำแหน่งคำสั่งขาย (short) จะมีการเคลื่อนที่ในทิศทางตรงข้าม ทั้งนี้คนส่วนใหญ่คิดว่าการเทรด FX คุณจะสามารถทำเงินได้เฉพาะเมื่อราคาขึ้นเท่านั้น นี่เป็นความเข้าใจที่ผิดเพราะคุณสามารถทำกำไรได้ทั้งสองทิศทาง
- เมื่อคุณเปิดตำแหน่ง short คุณจะกลายเป็นผู้ขาย และหวังว่าราคาจะลดลงเมื่อปิดการเทรด
- คุณหวังที่จะ “ซื้อคืน” ในราคาที่ต่ำกว่าเพื่อเก็บกำไรจากความแตกต่างนั้น
และกรณีที่น่าใจอีกประการ หากคุณเปิดตำแหน่ง long และตำแหน่ง short ในในเวลาเดียวกัน นี่ถือเป็นใช้งานการป้องกันความเสี่ยง (hedging) หรือการเป็น delta-neutral หมายถึง คุณกำลังพยายามลดความเสี่ยงและในขณะเดียวกันก็จำกัดยอดกำไรและขาดทุนด้วย
5. อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
อัตราแลกเปลี่ยน หมายถึง ราคาของสกุลเงินหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอีกสกุลเงินหนึ่ง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ อัตราแลกเปลี่ยนเป็นตัวกำหนดจำนวนของสกุลเงินหนึ่งที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นอีกสกุลเงินหนึ่งได้
และนี่คือคำอธิบายอัตราแลกเปลี่ยนบางประเภท:
- อัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว/แบบผันแปร : อัตราแลกเปลี่ยนเหล่านี้ถูกกำหนดโดยแรงของอุปสงค์และอุปทานในตลาด Forex ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาตลาด
- อัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ : อัตราแลกเปลี่ยนประเภทนี้ถูกควบคุมโดยรัฐบาลหรือธนาคารกลาง จึงมีเปลี่ยนแปลงที่ไม่มากนัก เว้นแต่รัฐบาลหรือธนาคารกลางจะจงใจทำให้เกิดขึ้น
ตัวอย่างเช่น หากอัตราแลกเปลี่ยนระหว่าง USD และ CAD อยู่ที่ 1.31 นั่นหมายความว่าทุก 1 USD ที่คุณมี คุณจะได้รับ 1.31 CAD
6. คำสั่ง Market vs. คำสั่ง Limit
การเข้าใจความแตกต่างระหว่างคำสั่ง market และคำสั่ง limit จะช่วยให้คุณควบคุมการเทรดได้ดียิ่งขึ้น โปรดดูตารางด้านล่างนี้:
ฟีเจอร์ | คำสั่ง market | คำสั่ง limit |
---|---|---|
การดำเนินการ | ทันที | มีเงื่อนไข |
ราคา | ราคาตลาดปัจจุบัน | ราคาที่ระบุ |
การคาดเคลื่อน | เป็นไปได้ | ไม่เกิดขึ้น |
ความเสี่ยงในการดำเนินการ | สูง | ต่ำ |
จะใช้คำสั่งแบบไหนและเมื่อไร:
- คำสั่ง market: ถูกใช้เมื่อจำเป็นต้องเข้าหรือออกจากตลาดอย่างรวดเร็ว หรือเมื่อจำเป็นต้องดำเนินการเทรดทันทีโดยไม่ต้องรอให้ถึงระดับราคาใดระดับราคาหนึ่ง
- คำสั่ง limit: หากคุณมีราคาเป้าหมายในใจและไม่ต้องการจ่ายมากกว่านั้น ควรเลือกใช้คำสั่ง limit ซึ่งจะเป็นประโยชน์เมื่อคุณตั้งคำสั่ง stop-loss หรือคำสั่ง take-profit อีกด้วย
ในฐานะเทรดเดอร์ เครื่องมือจัดการความเสี่ยง เช่น คำสั่ง Stop Loss และ Take Profit คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับคุณ
7. คำสั่ง Stop Loss และ Take Profit สำหรับการจัดการความเสี่ยง
คำสั่ง Take Profit น่าจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการบรรลุเป้าหมายนี้ คุณไม่ควรเปิดการเทรดโดยไม่มีคำสั่ง stop-loss ยกเว้นในกรณีที่จำนวนเงินที่คุณวางคือหลักประกันทั้งหมดที่คุณได้คำนวณไว้ล่วงหน้าแล้ว
- คำสั่ง take profit และคำสั่ง stop loss เป็นขีดจำกัดที่แน่นอน ซึ่งจะถูกเรียกใช้งานเมื่อราคาถึงจุดที่กำหนด เพื่อให้คุณได้รับกำไรตามแผนที่วางไว้หรือเพื่อป้องกันไม่ให้คุณสูญเสียเงินทั้งหมดในบัญชีจากการเทรดแค่ไม่กี่ครั้ง ซึ่งมักเกิดขึ้นบ่อยกับเทรดเดอร์หน้าใหม่
หมายเหตุ: คู่มือนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นคำแนะนำทางการเงิน แต่จัดทำเพื่อเป็นแนวมทางการศึกษาสำหรับการเริ่มต้นเทรดฟอเร็กซ์
นี่คือวิธีการทำงานของคำสั่ง Stop Loss และ Take Profit:
หากตลาดหรือคู่การซื้อขาย Forex ที่คุณเลือกเริ่มเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับที่คุณคาดการณ์ไว้ เมื่อราคาถึงจุดที่กำหนดไว้ล่วงหน้า การเทรดของคุณจะหยุดทันที
- คำสั่ง stop loss ใช้ได้ทั้งสองทาง หมายความว่า คุณสามารถใช้ได้ทั้งในตำแหน่ง long และ short
- เมื่อตั้งค่า stop loss ในตำแหน่ง short คำสั่งจะถูกเรียกใช้หากราคาของคู่เงินเพิ่มขึ้นและแตะถึงจุดที่คุณกำหนดไว้
- หากตลาดเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่คุณต้องการ คำสั่ง take profit จะถูกใช้ ซึ่งเป็นการขายเพื่อทำกำไรเมื่อเปิดตำแหน่ง long หรือเป็นการซื้อคืนในราคาที่ต่ำกว่าสำหรับตำแหน่ง short
อย่างที่ผมบอก คำสองคำนี้มีความสำคัญอย่างมากในช่วงเริ่มต้นและควรปรับใช้อย่างต่อเนื่องในกลยุทธ์ของคุณ เนื่องจากอัตราส่วนของกำไร/ขาดทุนที่เป็นไปได้ของคุณจะกำหนดความสามารถในการทำกำไรโดยรวมของคุณ
Winning Percentage – เป็นคำที่อธิบายเปอร์เซ็นต์ของการเทรดที่ทำกำไรใน Forex เมื่อเปรียบเทียบกับการเทรดที่ขาดทุน ตัวอย่างเช่น หากชนะ 8 ใน 10 การเทรด หมายความว่าคุณมี Winning Percentage 80%
เคล็ดลับ: บางครั้งในระหว่างการเทรดจริง หากคำสั่ง stop loss ของคุณอยู่ใกล้กับราคาปัจจุบันมากเกินไป อาจถูกเรียกใช้งานโดยไม่ตั้งใจ สำหรับมือใหม่ คุณสามารถลองกำหนดพื้นที่การเทรดให้กว้างขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้ไม่โดน stop loss เร็วเกินไป
การเลือกระหว่างการเทรด Spot, Futures, Options และ CFD
เมื่อทำการเทรด Forex นอกเหนือจากเลือกใช้แพลตฟอร์มการซื้อขายที่ได้มาตรฐาน เช่น MT4 หรือ Tradingview แล้ว สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจการเทรดในแต่ละประเภทให้ชัดเจน เนื่องจากแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะ ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และผลตอบแทนที่แตกต่างกัน นี่คือภาพรวมของตัวเลือกโดยทั่วไป:
1. การเทรด Spot
หากคุณต้องการแลกเปลี่ยนจาก AUD ไปยัง CHF ตลาด Forex แบบสปอต เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะคุณสามารถเทรดและดำเนินการขั้นต่อไปได้ทันที แม้ใช้ EA ในการซื้อขาย
คำจำกัดความ: การแลกเปลี่ยนโดยตรงระหว่างสกุลเงินหนึ่งกับอีกสกุลเงินหนึ่งในราคาตลาดปัจจุบัน
ข้อดี: เข้าใจง่าย มีสภาพคล่องสูงและค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมต่ำ
ข้อเสีย: ต้องถือสกุลเงินหลัก ซึ่งอาจทำให้คุณมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงราคาของสกุลเงิน
2. การเทรด Futures Contract
หากคุณเป็นนักเทรด Forex หน้าใหม่ การซ้อมใช้บัญชีทดลองจะทำให้คุณเข้าใจแพลตฟอร์มการเทรดและสกุลเงินที่คุณเทรดมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้การเลือกใช้โบรกเกอร์ forex สเปรดต่ำ ยังเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีในการประหยัดงบของคุณ
คำจำกัดความ: สัญญาที่กำหนดให้ผู้ซื้อจะต้องรับซื้อสกุลเงินและผู้ขายจะต้องส่งมอบสกุลเงินในจำนวนที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า โดยจะทำการซื้อขายในราคาที่ตกลงกัน และในวันที่กำหนดในอนาคต
ข้อดี: สามารถใช้เลเวอเรจเพื่อเพิ่มความสามารถของมาร์จิ้น และมีโอกาสในการป้องกันความเสี่ยงในอนาคต
ข้อเสีย: ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่สูงขึ้น ความเป็นไปได้ของการเรียกหลักประกันเพิ่ม และความเสี่ยงของการหมดอายุของสัญญา
หมายเหตุ: การเคลื่อนไหวของตลาดหรือความผันผวนของตลาดหุ้นอาจกระทบคุณอย่างรุนแรงและรวดเร็ว หากคุณเปิดรับความเสี่ยงมากเกินไปจากเลเวอเรจที่สูง
3. การเทรด Options
คำจำกัดความ: สัญญาให้สิทธิ์ที่แน่นอนแต่ไม่ผูกพันให้แก่ผู้ซื้อในการซื้อหรือขายสกุลเงินในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า โดยสามารถทำได้ก่อนวันหมดอายุที่กำหนดหรือในวันที่หมดอายุของสัญญา
ข้อดี: ความเสี่ยงค่อนข้างต่ำและมีความยืดหยุ่นพร้อมโอกาสในการทำกำไรที่สูง
ข้อเสีย: ราคาของ Options ลดลงตามเวลา การตั้งราคาอาจซับซ้อน และมีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่สูงขึ้น
เคล็ดลับ: โปรดให้ความสนใจกับข่าวสารและประกาศทางการเงินที่สำคัญ หากคุณกำลังเทรดคู่เงินใดกับดอลลาร์สหรัฐฯ ให้ตรวจสอบว่ามีการประกาศเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย การเรียกร้องเรื่องการว่างงาน และข่าวอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงตลาดการเงิน
4. การเทรด CFD (หรือ สัญญาซื้อขายส่วนต่าง)
คำจำกัดความ: สัญญาที่ช่วยให้สามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของราคาคู่เงินได้โดยไม่จำเป็นต้องถือสินทรัพย์พื้นฐานจริง
- ข้อดี: ใช้เลเวอเรจได้ มีความยืดหยุ่น และความสามารถที่สูงในการเทรดทั้งตำแหน่ง long และ shorty
- ข้อเสีย: เสี่ยงต่อการถูกเรียกหลักประกัน ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมข้ามคืน และไม่สามารถควบคุมสินทรัพย์พื้นฐานได้อย่างเต็มที่
ปัจจัยที่ต้องพิจารณาเมื่อต้องเลือกการเทรดในแต่ละประเภท
- ระดับความเสี่ยง: ตระหนักถึงจำนวนเงินที่คุณสามารถสูญเสียและทัศนคติของคุณต่อการขาดทุน
- วัตถุประสงค์การลงทุน: คุณมองหาผลกำไรจากการเก็งกำไรระยะสั้น, การเติบโตระยะยาว หรือการลดความเสี่ยง
- สไตล์การเทรด: คุณอาจเลือกใช้การเทรดแบบ scalping, การเทรดรายวัน หรือการเทรดแบบสวิง ขึ้นกับกลยุทธ์การเทรดที่แตกต่างกัน อีกสไตล์หนึ่งคือการ copy trade ซึ่งคุณจะคัดลอกการเทรดจากผู้ให้สัญญาณ
- ระดับประสบการณ์: เทรดเดอร์มือใหม่จะสามารถเข้าใจการเทรด Spot หรือ CFD ได้เร็วกว่าแบบอื่น ส่วนการเทรด Futures และ Options มักจะเหมาะเทรดเดอร์มืออาชีพมากกว่า
- เงินทุน: แน่นอนว่าจำนวนเงินทุนที่คุณมีอยู่จะส่งผลต่อตัวเลือกของคุณด้วย เนื่องจากประเภทการเทรดที่แตกต่างกันอาจต้องการเงินทุนเริ่มต้นที่มากหรือน้อยแตกต่างกันในบางกรณี
ข้อผิดพลาดที่เทรดเดอร์มือใหม่เจอบ่อยๆ
เช่นเดียวกับตลาดการเงินอื่นๆ การเทรด Forex ก็มีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย ผมเองก็ทำผิดพลาดมาไม่น้อย และแต่ละข้อผิดพลาดก็สอนบทเรียนที่ดีให้กับผม นี่คือข้อผิดพลาดทั่วไปบางประการที่ควรหลีกเลี่ยง:
1. การเทรดมากเกินไป: การเทรดบ่อยเกินไปและเปิดตำแหน่งใหญ่เกินไปอาจทำให้คุณขาดทุนมหาศาล คุณควรวางแผนการเทรดอย่างมีวินัย แล้วปฏิบัติตามแผนโดยปราศจากการใช้อารมณ์ตัดสิน
2.ไม่ศึกษาเพิ่มเติม: ใช้เวลาที่มีค่าไปกับการเรียนรู้เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของตลาด การวิเคราะห์เชิงเทคนิค การเลือกใช้แพลตฟอร์ม เช่น MT4/5 หรือ ctrader และการวิเคราะห์พื้นฐาน ลองถามตัวเองว่า “อินดิเคเตอร์คืออะไร” คำถามเบื้องต้นเหล่านี้อาจช่วยคุณเข้าใจตลาดได้ดียิ่งขึ้น
3.ไม่ให้ความสนใจกับข่าวและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ: ให้ความสนใจกับตัวชี้วัดเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ข้อมูลใหม่จากธนาคารกลาง และข่าวทางการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาตลาดฟอเร็กซ์
4. ไม่ใช้คำสั่ง stop loss: คำสั่ง stop loss เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการความเสี่ยง ช่วยให้คุณสามารถหยุดการขาดทุนได้โดยอัตโนมัติเมื่อราคาขยับไปในทิศทางที่ไม่เอื้ออำนวย
5การเทรดด้วยอารมณ์: อย่าตัดสินใจตามอารมณ์และความกลัว ต้องยึดตามแผนการเทรดของคุณ หากคุณขาดทุนและใช้ลิมิตประจำวันหมดแล้ว อย่าฝืนเทรดอีกจนกว่าจะจบวัน
วิธีการเริ่มต้นเทรด Forex ครั้งแรกของคุณ
การเริ่มต้นเทรด FX อาจเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณรอคอยที่จะได้สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ผมแนะนำให้เริ่มต้นด้วยจำนวนเงินที่น้อยก่อน และใช้กลยุทธ์การเทรดร่วม
เคล็ดลับ: พิจารณาให้ดีก่อนว่าแอพเทรด Forex ใดเหมาะสมกับความต้องการและรายการตรวจสอบการใช้งานของคุณก่อนที่จะลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก
นี่คือแนวทางที่เข้าใจง่าย ซึ่งจะช่วยให้คุณเทรดครั้งแรกได้อย่างราบรื่น:
1. การเลือกคู่สกุลเงิน: เมื่อคุณซื้อคู่สกุลเงิน นั่นหมายถึง คุณกำลังขายสกุลเงินอ้างอิงเพื่อแลกกับสกุลเงินหลัก ทำการวิจัยเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดและตัวชี้วัดเศรษฐกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับคู่สกุลเงินที่คุณสนใจ และตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
2. การคำนวณขนาดตำแหน่ง: คุณต้องตัดสินใจเกี่ยวกับจำนวนที่คุณต้องการเทรด ซึ่งหมายถึงขนาดตำแหน่ง ข้อนี้มีความสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้คุณทราบถึงระดับความเสี่ยงที่คุณต้องแบกรับในแต่ละครั้ง ก่อนที่คุณจะเริ่มเทรดในบัญชีจริง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจวิธีการทำงานของแพลตฟอร์มของคุณ เช่น วิธีการตั้งคำสั่ง market และคำสั่ง limit เป็นต้น
3. คุณสามารถเข้าตลาดได้ทันที ด้วยคำสั่ง market ในราคาตลาดที่กำลังดำเนินอยู่ หรือวางคำสั่งรอดำเนินการซึ่งจะถูกดำเนินการในภายหลังตามราคาที่คุณกำหนดไว้ล่วงหน้า
4. ในการปิดตำแหน่ง เมื่อคุณบรรลุเป้าหมายการเทรดหรือหากตลาดเคลื่อนไปในทิศทางตรงกันข้ามกับคุณ ตอนนี้เป็นเวลาที่จะปิดตำแหน่งของคุณ
โน้ต: กฎทั่วไปคือคุณไม่ควรเสี่ยงในจำนวนที่มากเกินไปในการเทรดหนึ่งครั้ง โดยปกติแล้วควรอยู่ที่ประมาณ 1-2% ใช้ตัวคิดขนาดตำแหน่งหรือใช้สูตรง่ายๆ เพื่อคำนวณขนาดที่เหมาะสมตามยอดบัญชีและระยะ stop-loss
สรุป
การประสบความสำเร็จในการเทรดเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ความรับผิดชอบ การศึกษาอย่างต่อเนื่อง และการมีผู้ให้คำแนะนำที่ดี ลองคิดดูนะ ถ้าคุณเป็นนักบาสเกตบอลหน้าใหม่ คุณจะไปแข่งกับทีมชั้นนำใน NBA และคิดว่าจะชนะได้เหรอ ใน Forex ก็เช่นกัน ผู้คนในสนามฟอเร็กซ์เหล่านี่อาจเป็นคนที่มีปริญญาเอกในด้านคณิตศาสตร์และการเงิน, ธนาคาร, hedge fund ที่ใช้อัลกอริธึมของตนและ AI เพื่อให้ได้กำไร
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเทรดระยะยาว ระยะสั้น หรือชื่นชอบในเทคนิค scalping หากคุณกำลังต้องการช่วงชิงโอกาสในการทำกำไรในสนามที่ดุเดือดและแข่งกับคนที่ชาญฉลาดเหล่านั้น คุณก็ควรมีการคำนวนและวางแผนมาเป็นอย่างดี และเมื่อคุณทำกำไรได้ อย่าให้ความมั่นใจมากเกินไปเข้ามาครอบงำเพราะตลาดมักจะหลอกคุณด้วยผลกไรมหาศาลก่อนเสมอ แต่คุณควรรักษาและทำตามแผนที่วางไว้โดยภาพรวม
ความสำเร็จใน Forex มักค่อยๆ เกิดขึ้นตามเวลา และหลายคนได้ค้นพบจุดแข็งของตัวเองเมื่อเวลาเทรดไปเรื่อยๆ คุณควรเข้าใจในคาดหวังของคุณและตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน อย่าลืมที่จะมีวินัยในการปฏิบัติตามกลยุทธ์ของคุณและปรับปรุงมันเมื่อจำเป็น ควรระวังความเสี่ยงที่มากเกินไปจากการใช้เลเวอเรจสูง เพราะตลาดสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอและอาจอยู่ในสภาวะที่ไม่เอื้อต่อการเทรดของคุณเป็นเวลานานกว่าที่คิด
Forex เปิดโอกาสให้ทุกคนที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตและมีบัญชีธนาคารสามารถเริ่มต้นการเทรดและการเก็งกำไรได้จากทุกที่ แต่การจะประสบความสำเร็จต้องใช้ความทุ่มเท วินัย ความมุ่งมั่น และการอดทนรอกว่าที่ราคาจะถึงคำสั่ง take profit ของคุณ
ในฐานะเทรดเดอร์คนหนึ่ง ผมหวังว่าจะสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลดีๆ ได้ตลอดเวลา ดังนั้นหวังผมเองก็หวังว่าคุณจะได้อะไรที่มีประโยชน์จากคู่มือนี้เช่นกัน
คำถามที่พบบ่อย:
อินดิเคเตอร์คืออะไร: อินดิเคเตอร์คือเครื่องมือวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาในอดีตและแนวโน้มในอนาคต เพื่อระบุโอกาสในการเทรดที่เป็นไปได้ อินดิเคเตอร์ที่ได้รับความนิยมบางตัว ได้แก่ MA, RSI, และ MACD (ไม่มีอินดิเคเตอร์ใดที่ใช้ได้ผลซะทีเดียว ดังนั้น โปรดใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจ อย่าใช้อินดิเคเตอร์ตัวเดียวในการตัดสินใจเทรดฟอเร็กซ์)
มาร์จิ้นใน Forex คืออะไร: มาร์จิ้นใน Forex คือหลักประกันที่ใช้เพื่อเข้าถึงตำแหน่งที่มีมูลค่ามากกว่าจำนวนเงินในบัญชีของคุณจริงๆ มาร์จิ้นช่วยให้คุณขยายขนาดทุนของคุณได้ หมายความว่าคุณจะมีเงินในการเทรดมากกว่าที่คุณได้ฝากเข้าในบัญชีจริงๆ
จะรู้ได้อย่างไรว่าโบรกเกอร์ดีไหม: ระยะเวลาที่ดำเนินกิจการ เช่น โบรกเกอร์ดำเนินการมานานแค่ไหนแล้ว ประวัติการดำเนินงานที่ยาวนานอาจบ่งชี้ถึงความมั่นคงและประสบการณ์
แพลตฟอร์ม MT4/MT5 เหมาะสมกับเทรดเดอร์มือใหม่หรือไม่: ใช่ เพราะแพลตฟอร์ม MT4/MT5 มีเครื่องมือการเทรดที่ครบครันและสามารถใช้ได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์ แท็ปเล็ตและโทรศัพท์มือถือ
ความคิดเห็นจากลูกค้า: ตรวจสอบรีวิวและคำรับรองจากเทรดเดอร์คนอื่นๆ อย่างไรก็ตามควรระมัดระวังเพราะไม่ใช่ทุกรีวิวที่เป็นความจริง และบางรีวิวอาจเป็นหน้าม้า