Scalping คืออะไร?

Scalping คือกลยุทธ์การเทรดขั้นสูง ที่เน้นการเปิดและปิดตำแหน่งการซื้อขายในปริมาณสูง ภายในระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้น คุณจำเป็นต้องคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาตลาดภายในไม่กี่วินาทีหรือนาทีได้อย่างแม่นยำ

Updated:

What Changed?

Each month we update average spreads data published by the brokers the retail brokers lose %

Fact Checked

Written by Justin Grossbard

Edited by

Fact Checked by

การทำ Scalping ต้องการความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของตลาด การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวโดยใช้ตำแหน่งขนาดใหญ่สามารถทำให้เกิดการขาดทุนเป็นจำนวนมากได้ ในคู่มือนี้ ผมจะมาแบ่งปันพื้นฐานและบทเรียนส่วนตัวที่ช่วยให้ผมพัฒนากลยุทธ์ที่ท้าทายนี้

CONTENTS

การเข้าใจพื้นฐาน Scalping

กลยุทธ์ Scalping ขึ้นอยู่กับการเปิดและปิดตำแหน่งการเทรดในเวลาเพียงไม่กี่วินาที เพื่อใช้ประโยชน์จากความผันผวนของตลาด คุณสามารถใช้กลยุทธ์นี้กับสินทรัพย์ทางการเงินใด ๆ ก็ได้ ตั้งแต่ Forex และ CFDs ไปจนถึงสินค้าโภคภัณฑ์, คริปโต, โลหะ, ทองคำ และแม้แต่อนุพันธ์แบบออปชั่น

ก่อนที่คุณจะเริ่มต้นทำ Scalping คุณจำเป็นต้องมีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับกลไกของตลาด เช่น การสร้างสภาพคล่อง, การวิเคราะห์ทางเทคนิค, การจัดการความเสี่ยง, และระดับแนวรับ/แนวต้านที่สำคัญ แม้ว่าแนวคิดเหล่านี้จะใช้ได้กับการเทรดทุกประเภท แต่การทำ Scalping ต้องใช้วิธีการที่เฉพาะเจาะจงและละเอียดกว่าการเทรดรายวัน เนื่องจากลักษณะที่รวดเร็วของมัน

การกะเวลาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการทำ Scalping ตัวอย่างเช่น ตลาดสหรัฐมีช่วงเวลาที่มีความผันผวนสูงที่สามารถคาดเดาได้ เช่น ชั่วโมงเปิดตลาด (9:30 – 10:30) และ “power hour” ในช่วงใกล้ปิดตลาด (15:00 – 16:00) ในช่วงเวลาเหล่านี้ ปริมาณการเทรดที่เพิ่มขึ้นมักจะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคาอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากรูปแบบเหล่านี้แล้ว เหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อตลาด เช่น รายงานอัตราเงินเฟ้อ, ตัวเลขการจ้างงาน, และการตัดสินอัตราดอกเบี้ย ยังสามารถสร้างโอกาสในการเทรดเพิ่มเติมได้อีกด้วย

อีกหนึ่งอุปสรรคที่ต้องระวังเป็นพิเศษในการทำ Scalping คือ “การคาดเคลื่อน” หรือการที่ราคาที่คุณเข้าเทรดจริงแตกต่างจากราคาที่คาดหวัง เนื่องจากกำไรจากการทำ Scalping ขึ้นอยู่กับการเข้าทำกำไรที่แม่นยำ แม้แต่ความแตกต่างของราคาเล็กน้อยก็มีความสำคัญ ผมใช้โบรกเกอร์ STP หรือ ECN เพราะการเข้าถึงสภาพคล่องโดยตรงช่วยลดความล่าช้า แม้ว่าการคาดเคลื่อนจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การจัดการมันอย่างมีประสิทธิภาพก็เป็นสิ่งสำคัญ เดี๋ยวจะอธิบายเรื่องนี้เพิ่มเติมในภายหลัง

การเทรดแบบสแกลป์ในตลาดหุ้น

ใครควรพิจารณาการเทรดแบบ Scalping

Scalping ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน จริง ๆ แล้ว การเทรดโดยทั่วไปอาจเป็นกิจกรรมที่สร้างความเครียดทางจิตใจได้มาก จากจุดเริ่มต้น ทุกตำแหน่งการเทรดจะอยู่ในสถานะขาดทุนเนื่องจาก “สเปรด” (ค่าธรรมเนียมในการเปิดตำแหน่งการเทรด) และการเห็นการขาดทุนทันทีอาจทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ นี่คือลักษณะสำคัญบางประการที่คุณจะต้องมีหากต้องการเป็น Scalper:

1. คุณควรมีความชื่นชอบในความตื่นเต้น

Scalping เป็นกิจกรรมที่ตึงเครียดและเต็มไปด้วยอะดรีนาลีน ในหลาย ๆ แง่ มันเหมือนกับการนั่งรถไฟเหาะ ดังนั้น หากคุณไม่ชอบความรู้สึกแบบนั้นมากนัก อาจจะมีกลยุทธ์การเทรดอื่น ๆ ที่เหมาะกับคุณมากกว่า

2. จัดการความเครียดได้ดี ไม่มีความวิตกกังวล

คุณต้องรักษาความเยือกเย็น สงบ และมีสติอยู่เสมอไม่ว่าจะเจอสถานการณ์ใดในการเทรดก็ตาม ต้องทำการเทรดด้วยเหตุผลและไม่ใช่ความรู้สึก

3. ชอบทำการวิเคราะห์

การทำ Scalping ต้องการทักษะการคิดวิเคราะห์ในระดับสูงเพื่อหาโอกาสเทรด ประเมินความเสี่ยง และพัฒนาทักษะในการตัดสินใจที่ดี

4. มีความรู้

Scalping เป็นสไตล์การเทรดที่มีความซับซ้อนและต้องการความรู้มากเกี่ยวกับวิธีการทำงานของตลาด Scalper ที่ดีต้องมีการตัดสินใจที่รวดเร็วและมีความรู้ทางเทคนิคในระดับสูง

5. ถ่อมตน

ในการเทรดแบบ Scalping คุณจะทำผิดพลาดเป็นบางคราวอย่างแน่นอน คุณต้องยอมรับกับตัวเองว่าคุณยินดีที่จะเรียนรู้ต่อไปและคุณสามารถพัฒนาได้เสมอ

6. มีวินัยสูง

การจะประสบความสำเร็จในการเทรดทุกรูปแบบ (การเทรดรายวัน, การเทรดแบบสวิง, Scalping) คุณต้องมีการควบคุมตนเองและที่สำคัญที่สุดคือต้องไม่ตกเป็นเหยื่อของแรงกระตุ้นหรืออารมณ์ของตัวเอง

อย่าคิดว่าคุณสามารถเปิดตำแหน่ง Scalping ได้ทุกเวลาและทำกำไรจากการเคลื่อนไหวใหญ่ในทันที แม้ว่าการเทรดแบบ Scalping จะใช้เวลาแค่ 1-2 นาที แต่การหาการตั้งคำสั่งที่ดีมักจะต้องใช้เวลาติดตามตลาดอย่างอดทนประมาณ 30-60 นาที ใช่แล้ว การทำ Scalping มีโอกาสเทรดที่บ่อยกว่าการเทรดระยะรายวัน Scalper ที่เก่งจะสามารถมองเห็นการตั้งคำสั่งที่ดีทุก 10 นาที หรือประมาณนั้น แต่ต้องจำไว้ว่า การเทรดที่มากขึ้นหมายถึงความเสี่ยงที่มากขึ้น ดังนั้น การรอให้มีการเทรดที่เหมาะสมจึงคุ้มค่า

สิ่งที่ทำให้การเทรดแบบ Scalping คุ้มค่าคือ ขนาดตำแหน่งการเทรดและการใช้เลเวอเรจ ในแต่ละนาที ตลาดจะไม่เคลื่อนไหวมากพอที่จะทำกำไรจำนวนมากจากความแตกต่างของราคาได้ ดังนั้น Scalper จึงใช้การขยายขนาดการเทรดและเลเวอเรจในการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาเพีนงเล็กน้อย ซึ่งหมายความว่าพวกเขาต้องมีทุนเป็นจำนวนมาก บางคนแนะนำให้ผู้เริ่มต้นทำ Scalping เริ่มจากบัญชีที่มีทุนระหว่าง 5,000 ถึง 20,000 ดอลลาร์

ในด้านของประสบการณ์, ต้องการความคุ้นเคยกับตลาดในระดับสูง โดยประมาณแล้วต้องมีประสบการณ์อย่างน้อย 1 ปี แต่จริง ๆ แล้วมันเกี่ยวข้องกับการเข้าใจแนวคิด การทำความเข้าใจการเทรด และความชำนาญมากกว่า อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยที่สุด เกณฑ์ที่กล่าวมาข้างต้นจะต้องอยู่ในระดับสูง และโดยทั่วไปมันต้องใช้เวลากว่าจะเข้าใจถึงระดับนี้

1.โบรกเกอร์ที่ดีที่สุดหรับ Scalping

ใน Scalping คุณจะต้องมองหาโบรกเกอร์ที่มีเวลาการประมวลผลคำสั่งที่รวดเร็ว เพราะการเข้าเทรดที่ดีจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของคุณ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยอื่น ๆ ที่สำคัญที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกโบรกเกอร์ ได้แก่ ค่าคอมมิชชั่น, ค่าธรรมเนียมการให้ข้อมูล (feed), เลเวอเรจ, มาร์จิ้น, สเปรด และการตรวจสอบว่าโบรกเกอร์ของคุณได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้

สำหรับประเทศไทย นี่คือโบรกเกอร์บางรายที่เหมาะสำหรับ Scalping:

PepperstoneIC MarketsEightcap
สเปรดสเปรดต่ำถึง 0.1 pips ใน Forex ด้วยบัญชี Razor (ดีที่สุดสำหรับ Scalping)สเปรดเริ่มที่ 0.0 pips ใน Forexสเปรดต่ำถึง 0.0 pips ใน Forex
เลเวอเรจสูงถึง 200:1 สำหรับบัญชีรายย่อย
500:1 สำหรับบัญชี pro
เลเวอเรจสูงถึง 500:1เลเวอเรจสูงถึง 500:1
ค่าคอมมิชชั่น (ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม)$3.50 ต่อล็อตด้วยบัญชี Razoe$3.50 ต่อล็อตด้วยบัญชีสเปรด RAW$3.50 ในบัญชี RAW
ความเร็วในการดำเนินการคำสั่ง (ทดสอบโดย by CompareForexBrokers)77 ms สำหรับคำสั่ง limit
100 ms สำหรับคำสั่ง market
134 ms สำหรับคำสั่ง limit
153 สำหรับคำสั่ง market
143 ms สำหรับคำสั่ง limit
139 สำหรับคำสั่ง market
สถานะการกำกับดูแลมี
โดย SCB ในบาฮามาส
มี
โดย FSA-S ในบาฮามาส
มี
โดย SCB ในบาฮามาส

เมื่อเลือกบัญชี, บัญชีแบบ RAW หรือ ECN (เช่น บัญชีที่มีค่าคอมมิชชั่น) โดยทั่วไปจะเป็นตัวเลือกที่นิยมสำหรับการทำ Scalping เพราะว่าสเปรดจะต่ำกว่าบัญชี standard และค่าใช้จ่ายโดยรวมของคุณจะต่ำกว่าถึงแม้ว่าจะมีค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติมก็ตาม

2. แพลตฟอร์มการเทรดสำหรับ scalper

นอกเหนือจากโบรกเกอร์ของคุรแล้ว แพลตฟอร์มการเทรดที่คุณเลือกใช้ก็สามารถเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของคุณในฐานะเทรดเดอร์ได้

แพลตฟอร์มการเทรดที่พบได้บ่อยและมีให้ใช้มากที่สุด ได้แก่ MT4 (MetaTrader 4), MT5, cTrader และ TradingView: เนื่องจากการทำ Scalping ต้องการทักษะทางเทคนิคที่สูง เครื่องมือบางอย่างที่มีในแพลตฟอร์มเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดของคุณอย่างมาก

คุณสมบัติหลักบางประการของแพลตฟอร์ม TradingView ได้แก่ เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่หลากหลายสำหรับการสร้างกราฟ นอกจากนี้ยังมีส่วนของชุมชนที่ให้ผู้ใช้สามารถแบ่งปันแนวคิดการเทรดของตนเองได้

สำหรับ MT4 และ MT5 ฟีเจอร์หลักมุ่งเน้นไปที่ความเชี่ยวชาญในการเทรด Forex โดย MT5 มี 21 กรอบเวลาที่แตกต่างกันในการดูราคา ขณะที่ MT4 มีเพียง 9 กรอบเวลา MT5 ยังมีเครื่องมือการจัดการความเสี่ยงที่ดีกว่า MT4 คุณถือซะว่า MT4 เป็นเวอร์ชันสำหรับมือใหม่ ในขณะที่ MT5 นั้นมีไว้สำหรับมืออาชีพ

cTrader ถูกสร้างขึ้นเพื่อการเทรดแบบ no-dealing desk จึงมีฟีเจอร์ที่ทำให้มันได้รับความนิยมโดยเฉพาะกับเหล่า Scalper ฟีเจอร์รวมถึง “Depth of Market” และความเร็วในการดำเนินการที่เร็วเป็นพิเศษ

MT4, MT5, และ cTrader รองรับการเทรดอัตโนมัติผ่านเครื่องมือเฉพาะของแต่ละแพลตฟอร์ม (Expert Advisors และ cBots) อัลกอริธึมเหล่านี้สามารถดำเนินกลยุทธ์ Scalping ของคุณได้เร็วกว่าการเทรดด้วยมือ ในขณะที่สามารถเฝ้าติดตามตลาดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อโอกาสในการทำกำไร

องค์ประกอบหลักของกลยุทธ์

ตอนนี้ที่คุณได้เตรียมพร้อมกับบัญชีโบรกเกอร์ที่ดีแล้ว ส่วนที่ยากมาถึงแล้ว นั่นก็คือการทำ Scalping จริงๆ

ขั้นแรกคุณต้องเข้าใจวงจรของตลาด ตลาดมักจะอยู่ในวงจร Breakout-สร้างฐาน-Breakout-สร้างฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่ตลาดจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง มันต้องสะสมแรงพอสมควรก่อน (การสร้างสภาพคล่อง) ซึ่งจะทำได้โดยการสะสมคำสั่งซื้อและคำสั่งขาย เมื่อสร้างสภาพคล่องได้เพียงพอแล้ว การ Breakout ก็จะเกิดขึ้น

โดยปกติแล้ว Breakout มักจะเป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่และเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนบางครั้งถ้าคุณกระพริบตาก็อาจพลาดได้ สำหรับ Scalper การจับการ Breakout คือเป้าหมายหลัก

ในการหาการ Breakout เทรดเดอร์มักใช้ เช่น รูปแบบกราฟ, RSI, Bollinger Bands, และ Moving Averages แต่สิ่งที่ได้ผลดีที่สุดสำหรับผมคือการใช้หลายอินดิเคเตอร์ร่วมกันพร้อมกับการพิจารณาบริบทของตลาด

สุดท้าย เนื่องจากกำไรส่วนใหญ่จะมาจากการเคลื่อนไหวเล็กๆ ในตลาด การป้องกันความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งสำคัญ Scalping เป็นกลยุทธ์ที่ควรมี stop-loss ที่ค่อนข้างเข้มงวด และโดยทั่วไปแล้วคุณควรออกจากตลาดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

กลยุทธ์การเข้าและออกจากตลาด

เครื่องมือและข้อกำหนด

ตามที่ได้อธิบายไปก่อนหน้านี้ Scalping ต้องการความรู้เรื่องการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นปริมาณมาก ดังนั้น แพลตฟอร์มอย่าง TradingView ซึ่งช่วยในการระบุการตั้งคำสั่งและจังหวะการเข้าออกที่เป็นไปได้ โดยการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาในกราฟอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเครื่องมือ เช่น Moving Averages, RSI (Relative Strength Index), Bollinger Bands และ MACD (Moving Average Convergence Divergence) เทรดเดอร์สามารถเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดได้ดีขึ้น

นอกจากส่วนที่เกี่ยวกับเทคนิคแล้ว คุณยังต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าโบรกเกอร์ของคุณพร้อมและมีประสิทธิภาพสำหรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบความเร็วในการเทรด (สำหรับ ccalping แล้วถือเป็นสิ่งที่ต้องมีอย่างแรกๆ), เสนอสเปรดที่ดี, เลเวอเรจ และค่าคอมมิชชั่น รวมทั้งการตรวจสอบว่าโดยรวมแล้วโบรกเกอร์เป็นสถาบันที่เชื่อถือได้

เครื่องมือและสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเทรดแบบสแกลป์

ตัวอย่างปฏิบัติจริง

Scalping ไม่ใช่เรื่องง่าย จากประสบการณ์ส่วนตัวของผม ผมเคยทำการเทรดที่ดีหลายครั้ง แต่ก็มีการเทรดที่ไม่ดีไม่น้อยเช่นกัน เหมือนกับการเทรดในรูปแบบอื่น ๆ หลักการพื้นฐานที่ควรยึดถือเสมอคือการจัดการความเสี่ยงอย่างถูกต้อง เมื่อทำเช่นนี้ คุณจะสามารถเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จได้

ขอแบ่งปันสองตัวอย่าง หนึ่งคือตัวอย่างการเทรดฟอเร็กซ์ที่ประสบความสำเร็จ และอีกหนึ่งคือตัวอย่างการเทรดที่ทำให้ผมเสียเงินไปจำนวนหนึ่ง

บริบท

ผมชอบการเทรดตลาดในช่วงเช้า เพราะในชั่วโมงแรกของวัน มักจะมีปริมาณการเทรดที่ดี ซึ่งสามารถนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่ดี และนอกจากนี้ยังมักจะมีข้อมูลสำคัญที่ปล่อยออกมาช่วงนี้อย่างน้อยก็สัปดาห์ละครั้ง สำหรับผม นี่คือสภาพตลาดที่เพอร์เฟค ในความเป็นจริงแล้ว รายงานเหล่านี้มักออกมาค่อนข้างบ่อยและสามารถช่วยให้คุณตั้งคำสั่งเทรดได้หลายรายการ

อย่างไรก็ตาม เมื่อรายงานเหล่านี้ถูกปล่อยออกมา โดยเฉพาะหากเป็นรายงานที่สำคัญ จะมีผลกระทบทันทีต่อการเคลื่อนไหวของราคาตลาด ซึ่งมักจะเกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในช่วงหนึ่งหรือสองนาทีแรก ในฐานะ scalper ผมพบว่าช่วงเวลาตลาดนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเทรดและทำกำไรเป็นปริมาณมาก แต่ก็ต้องถึงระลึกไว้เสมอว่า คุณไม่จำเป็นต้องมีตัวกระตุ้นเพื่อทำ Scalping คุณสามารถทำได้แม้ในวันที่ตลาดซบเซา

สำหรับบริบทเพิ่มเติม กลยุทธ์การเทรดแบบ Scalping ส่วนใหญ่ของผมจะใช้กรอบเวลาที่สั้นมาก ผมมักจะเทรดในกราฟ 5 วินาที แต่กราฟ 3 วินาที หรือ 10 วินาที ก็มีประโยชน์เช่นกัน คุณสามารถใช้กราฟ 1 นาที หรือกรอบเวลาอื่น ๆ ที่สั้นได้เช่นกัน หากคุณกำลังมองหา โบรกเกอร์ forex ที่น่าเชื่อถือ สำหรับการเทรดในลักษณะนี้ การเลือกโบรกเกอร์ที่มีสภาพคล่องสูงและการบริการที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ

เทรดที่กำไร

จากบริบทก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมกำลังรอรายงาน CPI สำหรับตลาดสหรัฐฯ ผมต้องการเทรดคู่ EUR/USD ในตลาด Forex ผมรู้ว่ารายงานนี้จะถูกปล่อยออกมาในช่วงเช้า เวลา 8:30 น. ซึ่งเป็น 1 ชั่วโมงก่อนที่ตลาดจะเปิด

โดยปกติแล้ว เมื่อมีการปล่อยรายงาน CPI (ดัชนีราคาผู้บริโภค) ราคาจะพุ่งไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งและหายากที่จะย้อนกลับ ในขณะที่การเคลื่อนไหวหลักมักจะเกิดขึ้นใน 1 นาทีแรก แต่จะมักมีปริมาณการเทรดที่สูงในช่วง 10 นาทีถัดไป ซึ่งสามารถช่วยผลักดันราคาขึ้นได้

พูดถึงเรื่องนี้แล้ว หลังจากที่รายงานถูกปล่อยออกมา 10 วินาที ผมสามารถเห็นการตอบสนองเบื้องต้นของรายงานที่เป็นบวก และผมสามารถเข้าเทรดตามกระแสขาขึ้นได้ทัน โดยตั้งคำสั่ง Stop Loss ไว้อย่างชัดเจนที่ก้นแท่งเทียน จากนั้นผมไปดื่มชาและผ่านไป 2 นาที ผมก็สามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของคู่เงินที่มากกว่า 1% ซึ่งทำกำไรได้เล็กน้อย ผมปิดตำแหน่งทันทีและเพลิดเพลินกับวันของผม

เทรดที่ขาดทุน

ในวันถัดมา รายงาน PPI (ดัชนีราคาผู้ผลิต) จะถูกปล่อยออกมาที่เวลาเดียวกับ CPI คือเวลา 8:30 น. ผมนั่งลงที่คอมพิวเตอร์ 10 นาทีก่อนที่รายงานจะประกาศและเตรียมตัวสำหรับการเทรด

อย่างไรก็ตาม ต่างจาก CPI PPI มักจะคาดเดาได้ยากกว่า เนื่องจากมันก็สามารถกระตุ้นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ได้ แต่บางครั้งการเคลื่อนไหวเหล่านั้นก็ยังคงอยู่และบางครั้งก็ย้อนกลับ กลยุทธ์ของผมคือการทำเหมือนเดิม การตามกระแส

โชคไม่ดีสำหรับผมเท่าไรนัก แท่งเทียนแรกนั้นทำให้เข้าใจผิด ราคาลงไปในช่วงไม่กี่วินาทีแรก ดังนั้นผมจึงเปิดตำแหน่ง short แต่ในครึ่งหลังของนาที ราคากลับดีดตัวขึ้น และผมถูกหยุดที่จุดสูงสุดของแท่งเทียน ทำให้ขาดทุนเล็กน้อย

อย่างที่เห็น การทำ Scalping เป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงสูงมาก มีหลายกลยุทธ์ในการทำ Scalping คุณสามารถเทรดในสถานการณ์เหล่านี้โดยไม่มีข้อมูลก็ได้ แต่การเทรดโดยอ้างอิงจากโครงสร้างราคาและการวิเคราะห์จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในระยะยาว หรืออาศัยเทคนิค copy trade หากคุณไม่ได้เทรดด้วยตัวกระตุ้นก็อย่าลืมที่จะเลือกการเทรดที่มีเหตุผลหลายประการรองรับ และต้องปกป้องการเทรดอย่างเข้มงวด

สรุป

Scalping เป็นกลยุทธ์ที่ซับซ้อนและไม่เหมาะสำหรับคนที่ขี้กลัว ในเพียงไม่กี่วินาที คุณอาจทำกำไรหรือขาดทุนอย่างมหาศาล การตัดสินใจที่ถูกต้องอาจทำให้คุณรู้สึกเหมือนเป็นอัจฉริยะ แต่การตัดสินใจที่ผิดพลาดอาจทำให้คุณสูญเสียเงินจำนวนมาก

Scalping ต้องการความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับการทำงานของตลาด (เช่น รูปแบบการเทรด, อินดิเคเตอร์, บริบท และการจัดการความเสี่ยง) และถึงแม้ว่าจะรู้จักสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว ก็ไม่รับประกันว่าจะได้ผลเสมอ นี่คือสิ่งที่บ่งชี้ถึงความยากของเทคนิคนี้

ในการทำ Scalping จุดมุ่งหมายหลักของคุณควรเป็นการทำกำไรใหญ่จากการเคลื่อนไหวของราคาที่เล็กน้อย อย่าลืมที่จะมีกลยุทธ์การเข้าและออกที่ดี โดยเฉพาะในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง ซึ่งราคาสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว แนวคิดพื้นฐานของ Scalping คือการทำกำไรอย่างรวดเร็ว คุณไม่ได้อยู่เพื่อจะเทรดทั้งวัน แต่แค่ในช่วงเวลาสำคัญสั้น ๆ เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หากคุณตั้งใจที่จะเริ่มต้นอาชีพการเป็น scalper สิ่งที่ผมขอให้คุณทำคือการศึกษาข้อมูลให้ดี รู้ว่าคุณกำลังทำอะไร เลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม ฝึกวินัยในตัวเอง และฝึกฝนด้วยบัญชีทดลองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงสุด

ท้ายที่สุด ขอให้คุณพึงระลึกไว้ว่า Scalping มีความเสี่ยงสูง แต่หากได้ทำการศึกษาและเตรียมตัวมาอย่างถูกต้อง มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้

Scalping และการกำหนด Lot ใน Forex

การเทรดแบบ Scalping เน้นการเปิดและปิดคำสั่งในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้การเลือก lot ที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อควบคุมความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร ขนาด lot ที่เล็กสามารถช่วยปรับตัวให้เข้ากับกลยุทธ์ Scalping ที่เน้นการทำกำไรจากความผันผวนเล็กน้อยในตลาด หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ lot และการใช้งาน คลิกที่นี่ (lot explained)

About the author:

Justin Grossbard

Having traded since 1998, Justin is the CEO and Co-Founded CompareForexBrokers in 2004. Justin has published over 100 finance articles from Forbes, Kiplinger to Finance Magnates. He has a Masters and Commerce degree and has an active role in the fintech community. He has also published a book in 2023 on on investing and trading.

Back to top